ปริมาณรังสีด้านในและด้านนอกห้องตรวจซีที
ผลสำรวจปริมาณรังสีกระเจิงที่ถูกดูดกลืน (absorbed dose) ด้วยอุปกรณ์วัดปริมาณรังสี ชนิด inLight ที่ติดด้านในและด้านนอกรอบห้องตรวจซีที ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง พบว่า บริเวณห้องควบคุมเครื่องซีที ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุม มีค่าปริมาณรังสีสูงสุด 8.3 ไมโครเกรย์ (micro gray ; µGy) เมื่อนำไปเทียบกับปริมาณรังสีที่กฎหมายกำหนด คือ ต้องมีค่าไม่เกิน 14.3 µGy เฉลี่ย 1 วัน ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ พบว่า พื้นที่ดังกล่าว อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยและไม่เกินขีดจำกัดที่กฎหมายกำหนด สำหรับบริเวณทางเดินสาธารณะ พื้นที่ตรวจตรา พบว่า มีปริมาณรังสี อยู่ในช่วง 1.6 - 8.3 ไมโครซีเวิร์ต (micro sievert ; µSv) เมื่อเทียบกับกฎหมายกำหนดคือไม่เกิน 2.8 µSv เฉลี่ย 1 วัน ซึ่งมีค่าสูงกว่าค่าที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยบริเวณที่มีค่าปริมาณรังสีสูงเกินขีดจำกัด คือ บริเวณประตู 2 จุด และผนังคอนกรีต 2 จุด (รูปที่ 3)

รูปที่ 3 ปริมาณรังสีภายในและภายนอกห้องตรวจซีทีทั้งสองเครื่อง CT#1 และ CT#2
วิจารณ์
จากการศึกษาของ Suzuki และคณะ 8 ปริมาณรังสีที่เลนส์ตาจากการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองด้วยจากเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดมัลติสไลด์ (multi-slice CT scan) จำนวน 8 เครื่อง พบว่า ปริมาณรังสีที่เลนส์ตา มีค่าอยู่ระหว่าง 42.6-103.5 mGy และ การศึกษาของ Nikupaavo และคณะ 9 พบว่า ปริมาณรังสีที่เลนส์ตา มีค่าอยู่ระหว่าง 4.9 - 19.7 mGy จากการศึกษานี้ สำหรับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองในผู้ป่วยอุบัติเหตุ (ที่ไม่ฉีดสารทึบรังสี) ปริมาณรังสีที่เลนส์ตา มีค่าอยู่ระหว่าง 15.30 - 29.30 mGy ผู้ป่วยที่ตรวจสมองร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี ปริมาณรังสีที่เลนส์ตา มีค่าอยู่ระหว่าง 19.30-50.50 mGy และ ผู้ป่วยที่ตรวจหลอดเลือดสมองร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี ปริมาณรังสีที่เลนส์ตา มีค่าอยู่ระหว่าง 53.40-74.10 mGy จากการศึกษานี้ พบว่าค่าปริมาณรังสีที่เลนส์ตาได้รับ อยู่ในช่วงเกณฑ์ที่ปลอดภัยไม่เกินเกณฑ์ต่ำสุด สำหรับการก่อตัวของต้อกระจก 500 mGy 10, 11 และทำให้เกิดเลนส์ตาขุ่นมัว 500 -2,000 mGy ตามที่คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากรังสีระหว่างประเทศ (ICRP) กำหนดไว้
เมื่อเปรียบเทียบจากการตรวจซีทีสมอง พบว่า และ ผู้ป่วยที่ตรวจหลอดเลือดสมองร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี มีค่าปริมาณรังสีเฉลี่ยสูงสุด เนื่องจากในการตรวจหลอดเลือดสมอง จะต้องฉายรังสีให้ครอบคลุมสมองและบางส่วนของหลอดเลือดบริเวณลำคอ เพื่อเก็บข้อมูลสอดคล้องกับการไหลของหลอดเลือดสมอง จึงทำให้ใช้ปริมาณรังสีมากกว่าการตรวจตามโปรโตคอล ผู้ป่วยอุบัติเหตุ (ที่ไม่ฉีดสารทึบรังสี) และ ผู้ป่วยที่ตรวจสมองร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี
จากการศึกษาของ Wang และคณะ 12 กับ Abuzaid และคณะ 13 ซึ่งทำการศึกษาปริมาณรังสีดูดกลืนบริเวณเลนส์ตาและต่อมไทรอยด์ เมื่อใช้แผ่นบิสมัทมาใช้กำบังรังสี พบว่า แผ่นบิสมัทสามารถดูดกลืนรังสี ทำให้ปริมาณรังสีบริเวณเลนส์ตา และต่อมไทรอยด์ ที่อยู่หลังแผ่นบิสมัท ลดลง ร้อยละ 26.4 และ ร้อยละ 40-60 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษานี้ ปริมาณรังสีดูดกลืนที่เลนส์ตา เมื่อใช้แผ่นบิสมัทช่วยลดปริมาณรังสีบริเวณเลนส์ตา ลดลง ร้อยละ 27-48 จาก 3 โปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจสมอง
จากการศึกษาครั้งนี้ สามารถแสดงให้เห็นถึง ค่าปริมาณรังสีดูดกลืนที่เลนส์ตา ต่อมไทรอยด์ รวมถึงการกำบังรังสีเมื่อใช้แผ่นบิสมัท จากการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง พบว่า มีค่าแตกต่างในการศึกษาต่างสถานที่กัน สาเหตุของปริมาณรังสีจากการตรวจที่มีค่าแตกต่างกันนั้น เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดของเครื่องที่ใช้งาน ขนาดหรือจำนวนของอุปกรณ์รังรังสี (detectors) ที่ใช้งาน (ในปัจจุบันมีตั้งแต่ 4 - 256 แถว) รวมถึง การตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ซึ่งค่าเริ่มต้น (default setting) ของแต่ละบริษัท หรือ โรงพยาบาล ที่กำหนด เช่น ศักดาไฟฟ้า (kilo voltage; kV) ระยะเวลาในการสแกน (scan time) อัตราส่วนรอบการหมุนของหลอดเอกซเรย์ต่อการเคลื่อนที่ของเตียง (pitch ratio) ความหนาของชั้นที่ตัด (slice thickness) ระยะห่างระหว่างสไลด์ (inter slice spacing) เป็นต้น จากค่าปริมาณรังสีที่ไม่เท่ากันนี้ จำเป็นที่ผู้ใช้งานเครื่องจะต้องคำนึงถึงในการปรับตั้งค่าด้วยตนเองให้สอดคล้อง ตามโปรโตคอลการตรวจ ตามพยาธิสภาพของผู้รับบริการ หรือ ของโรคที่สงสัย เพื่อช่วยลดปริมาณรังสีให้กับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเด็ก
สำหรับการตรวจวัดปริมาณรังสีกระเจิงด้านในและด้านนอกห้องซีที พบว่า ปริมาณรังสีในพื้นที่ควบคุมมีปริมาณรังสีน้อยกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ส่วนพื้นที่ตรวจตรา มีบางตำแหน่งที่มีปริมาณรังสีมากกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จำเป็นต้องดำเนินการป้องกันและการแก้ไข และตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางรังสีในลำดับต่อไป
สรุป
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการประเมินคุณภาพการทำงานประจำ ด้วยการเก็บข้อมูลจากการใช้โปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยสมองจากเครื่องเอกซเรย์ 3 เครื่อง ที่ใช้งานประจำ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาศึกษาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาสู่งานวิจัย ด้วยการวัดปริมาณรังสีที่เลนส์ตาและต่อมไทรอยด์ ร่วมกับการใช้และไม่ใช้บิสมัทป้องกันรังสี รวมถึงการ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการป้องกันรังสีของผนัง ประตูและกระจกตะกั่วที่ใช้กั้นระหว่างห้องฉายรังสีกับพื้นที่ควบคุมและพื้นที่ตรวจตรา ซึ่งหน่วยงานยังไม่เคยทำการศึกษามาก่อน เมื่อได้ข้อมูลจากการศึกษานี้ พบว่า การใช้พารามิเตอร์ต่างๆในการตรวจวินิจฉัยสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์ 3 เครื่อง ที่ใช้ในงานประจำมีความแตกต่างกัน และ ปริมาณรังสีที่ใช้ ก็ไม่ได้สูงเกินระดับเกณฑ์ต่ำสุด ตามที่คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากรังสีระหว่างประเทศ (ICRP) กำหนดไว้ ซึ่งทำให้ผู้ทำการศึกษาได้เห็นโอกาสในการพัฒนา ด้วยการปรับพารามิเตอร์ในการตรวจสมองเครื่องเอกซเรย์ทั้ง 3 เครื่อง ให้มีค่าลดลงหรือใกล้เคียงกันโดยที่ไม่ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้ลดลง
สำหรับการตรวจวัดปริมาณรังสีกระเจิงด้านในและด้านนอกห้องซีที พบว่า ปริมาณรังสีในพื้นที่ควบคุมอยู่ในระดับปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงาน แต่ในพื้นที่ตรวจตรา มีบางตำแหน่งที่มีปริมาณรังสีมากกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จะได้ดำเนินการแก้ไข เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางรังสีในลำดับต่อไป
การใช้บิสมัทป้องกันรังสี Wang และคณะ 12 ได้ให้ข้อมูลแนะนำ วิธีการวางแผ่นบิสมัทให้เหมาะสม เพื่อไม่ไปรบกวนหรือบดบังอวัยวะที่ต้องการตรวจวินิจฉัย แผ่นบิสมัทที่ใช้ไม่ควรมีรอยหักหรือรอยพับ 4 นอกจากการใช้แผ่นบิสมัทมาช่วยกำบัง เพื่อลดปริมาณรังสีแก่อวัยวะจากการตรวจแล้ว เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บางรุ่น บางชนิด ยังมีโปรแกรมพิเศษที่ช่วยปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์อัตโนมัติ 14, 15 เพื่อช่วยลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยหรือที่อวัยวะจะได้รับจากการตรวจ ซึ่งแต่ละหน่วยงานสามารถศึกษาเพิ่มเติม เลือกใช้ให้เหมาะสมในการตรวจวินิจฉัย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงภัยจากรังสีต่อผู้รับบริการ เท่าที่จะทำได้
กิตติกรรมประกาศ
งานศึกษาครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (เลขที่โครงการ IN62126) ขอขอบคุณบุคลากรและนักศึกษา ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มมาตรฐานการวัดทางนิวเคลียร์และรังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ที่มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยนี้
เอกสารอ้างอิง
1. Smith-Bindman R, Lipson J, Marcus R, Kim KP, Mahesh M, Gould R, et al. Radiation dose associated with common computed tomography examinations and the associated lifetime attributable risk of cancer. Arch Intern Med 2009; 169: 2078-86.
2. U.S. Food and Drug Administration. What are the Radiation Risks from CT? [updated 12/05/2017; cited Feburary 25, 2019]. Available from: https://www.fda.gov/Radiation-EmittingProducts/RadiationEmittingProductsandProcedures/MedicalImaging/MedicalX-Rays/ucm115329.htm.
3. Perisinakis K, Raissaki M, Theocharopoulos N, Damilakis J, Gourtsoyiannis N. Reduction of eye lens radiation dose by orbital bismuth shielding in pediatric patients undergoing CT of the head: a Monte Carlo study. Med Phys 2005; 32: 1024-30.
4. Raissaki M, Perisinakis K, Damilakis J, Gourtsoyiannis N. Eye-lens bismuth shielding in paediatric head CT: artefact evaluation and reduction. Pediatr Radiol 2010; 40: 1748-54.
5. Lim CS, Lee SB, Jin GH. Performance of optically stimulated luminescence Al(2)O(3) dosimeter for low doses of diagnostic energy X-rays. Appl Radiat Isot 2011; 69: 1486-9.
6. Okazaki T, Hayashi H, Takegami K, Okino H, Kimoto N, Maehata I, et al. Fundamental Study of nanoDot OSL Dosimeters for Entrance Skin Dose Measurement in Diagnostic X-ray Examinations. J Radiat Prot Res 2016; 41: 229-36.
7. Zhang D, Li X, Gao Y, Xu XG, Liu B. A method to acquire CT organ dose map using OSL dosimeters and ATOM anthropomorphic phantoms. Med Phys 2013; 40: 081918.
8. Suzuki S, Furui S, Ishitake T, Abe T, Machida H, Takei R, et al. Lens exposure during brain scans using multidetector row CT scanners: methods for estimation of lens dose. AJNR Am J Neuroradiol 2010; 31: 822-6.
9. Nikupaavo U, Kaasalainen T, Reijonen V, Ahonen SM, Kortesniemi M. Lens dose in routine head CT: comparison of different optimization methods with anthropomorphic phantoms. AJR Am J Roentgenol 2015; 204: 117-23.
10. Chodick G, Bekiroglu N, Hauptmann M, Alexander BH, Freedman DM, Doody MM, et al. Risk of cataract after exposure to low doses of ionizing radiation: a 20-year prospective cohort study among US radiologic technologists. Am J Epidemiol 2008; 168: 620-31.
11. Bordy JM. Monitoring of eye lens doses in radiation protection. Radioprotection 2015; 50: 177-85.
12. Wang J, Duan X, Christner JA, Leng S, Grant KL, McCollough CH. Bismuth shielding, organ-based tube current modulation, and global reduction of tube current for dose reduction to the eye at head CT. Radiology 2012; 262: 191-8.
13. Abuzaid M, Elshami W, Haneef C, Alyafei S. Thyroid shield during brain CT scan: Dose reduction and image quality evaluation. Imaging Med 2017; 9: 45-8.
14. Gharbi S, Labidi S, editors. Radiation dose optimization in computed tomography with current modulation and Iterative Reconstruction. 2016 7th International Conference on Sciences of Electronics, Technologies of Information and Telecommunications (SETIT); 2016 18-20 Dec. 2016.
15. Greffier J, Pereira F, Macri F, Beregi JP, Larbi A. CT dose reduction using Automatic Exposure Control and iterative reconstruction: A chest paediatric phantoms study. Physica medica : PM : an international journal devoted to the applications of physics to medicine and biology : official journal of the Italian Association of Biomedical Physics (AIFB) 2016; 32: 582-9.