Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Conservative Treatment vs Internal Fixation in Non-displaced Tibial Plateau Fracture; Retrospective Cohort Study

การเปรียบเทียบผลลัพธ์ย้อนหลังในการรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าเเบบไม่เคลื่อน รักษาด้วยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกด้วยแผ่นโลหะ เเละวิธีรักษาเเบบอนุรักษ์

Naruepol Ruangsillapanan (นฤพล เรืองศิลปานันต์) 1, Urawit Piyapromdee (อุรวิศ ปิยะพรมดี) 2, Wasit Panoinont (วษิษฐ์ ปาน้อยนนท์) 3




แน่ชัด ในการเลือกรักษาโดยวิธีอนุรักษ์นิยม หรือ การผ่าตัดยึดตรึงกระดูกโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่มีกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อน โดยปัจจุบันการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าพัฒนาดีขึ้นนิยมมากขึ้นและการรักษาโดยวิธีอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนน้อย รวมถึงได้รับการยอมรับการทรุดตัวของกระดูกที่ค่อนข้างมากจากผลการรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยมต่างกับในปัจจุบัน การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกและผลลัพธ์ทางรังสีในผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกและวิธีอนุรักษ์

วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง(retrospective cohort study) ระยะเวลาทำการศึกษา 6 ปี มีกลุ่มผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจำนวน 603 ราย ผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อน 65 ราย (ร้อยละ11) ที่สามารถมาติดตามการรักษาได้ 12 สัปดาห์ ผู้ป่วย 43 รายได้รับการรักษาแบบอนุรักษ์ ผู้ป่วย 22 รายได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูก ประเมินผลลัพธ์ทั้งทางคลินิกโดยใช้ Modified Knee Score ระยะเวลามากกว่า 12 สัปดาห์ ร่วมกับเปรียบเทียบภาพถ่ายรังสีการทรุดตัวของกระดูก

ผลการศึกษา: มีผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาและเข้าข้อบ่งชี้รวมถึงมาตามนัดทั้งหมด 65 ราย โดยที่ร้อยละ 95 ของกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีถึงดีเยี่ยม เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่รักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยม ร้อยละ91 ที่ระยะเวลา 12 เดือน และ ร้อยละ 77 ของกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกมีผลลัพธ์ทางรังสีที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยอนุรักษ์นิยมมีเพียงร้อยละ 47 โดยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

สรุป: การรักษาแบบอนุรักษ์นิยมในกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนนั้นยังคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาคนไข้นอกจากวิธีการผ่าตัดยึดตรึงกระดูก โดยผลลัพธ์ทางคลินิกหลังจากที่กระดูกติดแล้วใกล้เคียงกัน แต่ผลลัพธ์ทางภาพรังสีของกลุ่มอนุรักษ์นิยมมีโอกาสที่จะยุบเคลื่อนตัวได้มากกว่ากลุ่มที่ยึดตรึงกระดูก

 

Background and objective: Tibial plateau fracture is a complex periarticular knee joint fracture that is mainly treated by internal fixation or conservative treatment in some cases. Although many studies have detailed techniques and outcomes of surgical fixation in tibial plateau fractures, minimal literature exists on the functional and radiological outcome of nonsurgical management. Despite literatures reporting good clinical outcome in internal fixation, patients that have been treated by conservative treatment in Maharat Nakhon Ratchasima Hospital have also reported good results according to research comparing clinical outcomes between the two groups. Nowadays the guideline of treatment in tibial plateau fractures remains controversial especially in non- displaced or minimally displaced fractures.This study sought to compare functional results and radiological results in patients with non-displaced tibial plateau fracture that are treated surgically and nonsurgically.

Methods : Over the last 6 years, 603 consecutive tibial plateau fracture were treated in Maharat Nakhonratchasima Hospital. Overall, 65 patients (11%) were non-displaced fracture and were available for follow-up for 12 weeks. 43 patients were treated nonsurgically and 22 patients were treated surgically. The functional results and radiological results were recorded by modified version of the knee scoring system of Hohl and Luck . The functional results and radiological results were compared between the two groups.

Results : 65 patients were included in this study. Overall, 95% of surgery group attained good to excellent functional results vs 91% in conservative group. 77% of surgery group attained good radiological results vs 47% in conservative group..

Conclusions : Conservative treatment in patients with non-displaced tibia plateau fracture is still an alternative option although it has a higher chance to collapse more than operative  group.

 

บทนำ

กระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่า (tibia plateau fracture) ภาวะนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงและมักจะทำให้เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณข้างเคียงเกิดการบาดเจ็บร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยมาตรฐานแล้ว ส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมามากมาย เช่น กระดูกข้อเข่าเสื่อม กระดูกติดผิดรูป ภาวะปวดเข่าเรื้อรัง เป็นต้น1-6

           จากการเก็บสถิติในปีผ่านมาของผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา  มีปริมาณเฉลี่ยประมาณ 100 รายต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการรักษาทั้งวิธีผ่าตัดและวิธีอนุรักษ์นิยมแตกต่างกันไปตามลักษณะของผู้ป่วยแต่ละคน  ซึ่งหลังจากที่ได้นัดติดตามการรักษาของผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มอย่างต่อเนื่องแล้ว ผลการรักษาไม่แตกต่างกัน ในส่วนกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อน ซึ่งการรักษาโดยวิธีอนุรักษ์นั้นก็มีข้อดีต่อผู้ป่วย คือไม่ต้องเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด  ภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนจากการนอนโรงพยาบาล เป็นต้น รวมถึงระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็น้อยกว่าด้วยเช่นกัน ส่วนการรักษาโดยวิธีการผ่าตัดนั้นปัจจุบันถือได้ว่าเป็นวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในผู้ป่วย tibial plateau fracture7 ซึ่งมีข้อดีตรงที่สามารถให้ผู้ป่วย เคลื่อนไหวข้อเข่าได้เลยหลังการรักษา มีโอกาสเกิดภาวะข้อเข่าติดน้อยกว่า และสามารถเข้าไปจัดเรียงผิวข้อเข่าได้เรียบเนียนมากกว่าวิธีการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม รวมถึงป้องการทรุดเพิ่มเติมของกระดูกที่หัก8,9

จากการศึกษาในอดีตที่ผ่านมา มีการศึกษาถึงผลการรักษาของทั้งวิธีผ่าตัดและวิธีอนุรักษ์ โดยผลการศึกษาในอดีตนั้นการรักษาโดยวิธีอนุรักษ์มักจะมีผลการรักษาที่ดีกว่าวิธีผ่าตัด4,10-16 เหตุเพราะวิธีการผ่าตัดในอดีตอาจยังไม่ได้มาตรฐานเท่ากับในปัจจุบัน และปัจจุบันก็มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดที่ทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น ส่วนการศึกษาในปัจจุบันนั้นยังไม่มีการศึกษาที่เปรียบเทียบผลการรักษาของทั้งสองวิธีนี้โดยตรงว่าวิธีใดให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการรักษาภาวะกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าเเบบไม่เคลื่อน ในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา การรักษาอยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์แต่ละท่านเนื่องจากยังไม่มีเกณฑ์ชัดเจนในการเลือกวิธีรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ดังนั้นทางคณะผู้จัดทำจึงต้องการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบผลการรักษาของทั้งสองวิธีว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ โดยประเมินจากอาการทางคลินิกของผู้ป่วยและภาพถ่ายทางรังสีดังนั้นการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประเมินและเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกและผลลัพธ์ทางรังสีในผู้ป่วยกระดูกหน้าแข้งหักชนิดแตกเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนที่ที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกและวิธีอนุรักษ์นิยม

วิธีการศึกษา

เป็นการศึกษาย้อนหลังที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา เพื่อสืบค้นประวัติผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2558โดยรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อแบบไม่เคลื่อนที่ได้รับการวินิจฉัยโดยภาพถ่ายรังสี และได้ทำการรักษาทั้งโดยวิธีการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกและโดยวิธีอนุรักษ์นิยมโดยได้รวบรวมประวัติผลการตรวจร่างกาย X-ray ในผู้ป่วยทุกราย และแยกชนิดผู้ป่วยตาม รูปแบบการหักโดยใช้ Schatzker classification10

ข้อบ่งชี้ในการเข้าร่วมการศึกษาคือ กระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนโดยที่ใช้ภาพถ่ายรังสี (ยุบหรือเคลื่อนไม่เกิน 2 มม.) อายุมากกว่า 18 ปี และเป็นรูปแบบการแตกหัก Schatzker classification แบบ 1, 2, 3 โดยตัดกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกหักแบบมีแผลเปิด,กระดูกหักจากภาวะกระดูกผิดปกติอยู่เดิม,ไม่สามารถมาตามนัดได้อย่างน้อย 12 สัปดาห์ และผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าอักเสบอยู่เดิม

การศึกษาครั้งนี้ได้ประเมินจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเก็บรวบรวมเท่ากับ 62 ราย โดยคำนวณจากการทดสอบผลลัพธ์สองทางแบบไม่แย่กว่า(non-inferiority trial)โดยใช้ผลลัพธ์ทางคลินิกของการศึกษาโดย  Jensen และคณะ17 โดยที่ค่าความเชื่อมั่นการวิเคราะห์เท่ากับ 0.05 อำนาจของการทดสอบเท่ากับ 0.8

ผู้ป่วยจำนวน 603 ราย ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าผู้ป่วยจำนวน 426 คนมีการเคลื่อนของส่วนที่หัก และผู้ป่วยจำนวน 112 ราย ถูกตัดออกตามข้อกำหนด  จึงมีผู้ป่วยเพียง 65 ราย (ร้อยละ11) ที่นำมาศึกษาในการศึกษานี้ โดยการรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์ ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการรักษาแบบเดียวกันคือ การใส่เฝือกยาวจากต้นขาถึงเท้า และเดินโดยไม่ลงน้ำหนักในข้างที่ใส่เฝือกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงใส่เกราะหุ้มหัวเข่าให้งอเหยียดเข่าได้อย่างน้อย 90 องศาต่ออีกอย่างน้อย 4สัปดาห์ โดยสามารถลงน้ำหนักได้บางส่วน และกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดจะได้รับการรักษาด้วยการยึดตรึงกระดูกด้วยแผ่นเหล็กยึดตรึงหรือ สกรูตามแบบอย่างการยึดกระดูกสากลของกลุ่มAO principle

ประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกและภาพรังสีสัปดาห์ที่ 12 หลังการผ่าตัด โดยใช้หลักการประเมินตามการประเมินของ Hohl และ Luck18 (ตารางที่ 1 และ 2) โดยใช้ภาพถ่ายรังสีรูปเข่าในแนวจริงหน้าหลัง และแนวข้างในโปรแกรมPAC (รูปภาพที่1) ขยายขนาด 3 เท่า ก่อนทำการประเมินด้วยแพทย์ประจำบ้าน2ท่าน โดยไม่ทราบรายละเอียดงานวิจัย และประเมินซ้ำโดยแพทย์ประจำบ้านคนเดิมระยะเวลาต่างกันที่ 4 สัปดาห์ โดยได้ค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ในผู้ประเมินคนเดียวกันเท่ากับ 0.7521 และ ระหว่างผู้ประเมินเท่ากับ 0.7192

โดยใช้สถิติวิเคราะห์แบบย้อนหลังโดยใช้วิธีสถิติแบบ Student t-test และ chi-square tests ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์จากทั้งสองกลุ่ม

 

ตารางที่ 1 Modified knee score

ระดับ

องศาการหมุนข้อเข่า

ระดับความเจ็บปวด

ความสามารถในการเดิน

องศาการเหยียด

เข่าไม่สุด

องศาความไม่

มั่นคงด้านข้าง

ดีเลิศ

≥120

ไม่มี

> 1 กม.

0

<5

ดี

≥90

เล็กน้อยขณะทำกิจกรรม

> 100 เมตร

<10

>5

ปรกติ

<90

ปานกลางขณะทำกิจกรรมหรือปวดขณะนั่งพัก

< 100 เมตร

>10

>5

แย่

ผลลัพธ์ที่แย่กว่าระดับปรกติ

 

 

ตารางที่ 2 Radiographic outcome

ระดับ

ข้อยุบ (มม.)

ข้อแยก (มม.)

ดี

≤2

≤2

แย่

>2

>2

(โดย 2 มม. เปรียบเทียบจากข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด8 )

 

จริยธรรมในการศึกษา

            การศึกษาครั้งนี้ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการทดลองในมนุษย์ของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาและปฏิบัติตามหลักการพิทักษ์สิทธิ์ของผู้เข้าร่วมวิจัยผู้ป่วยยินยอมด้วยความสมัครใจที่จะให้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลตามแบบสอบถาม ซึ่งข้อมูลที่ได้จะถูกเก็บเป็นความลับและไม่ถูกเปิดเผย

 

ผลการศึกษา

ผู้ป่วย 65 รายมาตามนัดดูอาการที่ค่าเฉลี่ย 19.4 ± 9.2 สัปดาห์ ( ช่วง12 ถึง 47 สัปดาห์)ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 56.9 อายุเฉลี่ย 41.2 ± 16.8 ปี (ตารางที่ 3) แยกตามรูปแบบการแตกหักตาม Schatzker classification รูปแบบที่ 1 ร้อยละ 78 (ตารางที่ 4)  ผลลัพธ์ทางคลินิกของกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกได้ผลที่ดีถึงดีเลิศที่ร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับวิธีอนุรักษ์นิยมที่ร้อยละ 91 โดยแตกต่างกันที่ค่า p= 0.496 ผลลัพธ์ทางรังสีของกลุ่มที่ได้รับการยึดตรึงกระดูกมีผลลัพธ์ที่ดี ถึงร้อยละ 77 โดยเทียบกับวิธีอนุรักษ์นิยมที่มีผลลัพธ์ที่ดีที่ร้อยละ47 โดยแตกต่างกัน ที่ค่า p = 0.018). โดยผลลัพธ์ด้านรังสีที่แย่ในกลุ่มที่รักษาแบบอนุรักษ์นิยม จากกระดูกยุบ,แต่ผลลัพธ์ทางรังสีที่แย่ในกลุ่มที่ยึดตรึงกระดูกมักเป็นในส่วนกระดูกข้อแยกมากกว่า มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังการรักษาทั้งสองวิธีทั้งหมด 5 ราย (ตารางที่ 7) โดยไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

 

ตารางที่ 3  ข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม

เฉลี่ย

กลุ่มผ่าตัดยึดตรึงกระดูก

จำนวน (ร้อยละ)

กลุ่มอนุรักษ์นิยม

จำนวน (ร้อยละ)

P-value

อายุ (ปี)

41.2±16.8

38.4±15.1

42.7±17.6

0.33

เพศชาย

เพศหญิง

37

28

15 (68.18)

7 (31.82)

22 (51.16)

21 (48.84)

 

0.19

การติดตามนัด(สัปดาห์)

19.4±9.2

24.5±11.3

16.9±6.8

0.006

 

ตารางที่ 4  แยกประเภทผู้ป่วยตามรูปแบบของการหัก (Schatzker classification )

รูปแบบ

รวม

กลุ่มผ่าตัดยึดตรึงกระดูก

จำนวน (ร้อยละ)

กลุ่มอนุรักษ์นิยม

จำนวน (ร้อยละ)

p-value

I

II

III

51

13

1

16 (31)

6 (46)

-

35 (69)

7 (54)

1

 

0.465

 

ตารางที่ 5 ผลลัพธ์ทางคลินิก

กลุ่มผ่าตัดยึดตรึง

กระดูกด้วย

ดีเลิศ

จำนวน (ร้อยละ)

ดี

จำนวน (ร้อยละ)

ปรกติ

จำนวน (ร้อยละ)

แย่

จำนวน(ร้อยละ)

p-value

โลหะ

อนุรักษ์นิยม

13 (59)

18 (42)

8 (36)

21 (49)

1 (5)

4 (9)

0

 

0

 

0.496

 

ตารางที่ 6  ผลลัพธ์ทางรังสี

ดี

จำนวน (ร้อยละ)

แย่

จำนวน (ร้อยละ)

p-value

ผ่าตัดยึดตรึงกระดูกด้วยโลหะ

17 (77)

5 (23)

0.018

อนุรักษ์นิยม

20 (47)

23 (53)

 

ตารางที่ 7 ภาวะแทรกซ้อน

ชนิด

กลุ่มผ่าตัดยึดตรึงกระดูก

จำนวน (ร้อยละ)

กลุ่มอนุรักษ์นิยม

จำนวน (ร้อยละ)

p-value

การติดเชื้อแบบตื้น

0(0)

1(4.5)

0.762

การติดเชื้อแบบลึก

0(0)

0(0)

เส้นประสาทบาดเจ็บ

0(0)

0(0)

แผลกดทับ

1(2.3)

0(0)

กระดูกไม่ติด

0(0)

0(0)

อาการเจ็บปวดซับซ้อน

2(4.6)

0(0)

หลอดเลือดดำอุดตัน

0(0)

1(4.5)

 

 

รูปที่ 1 แสดงการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม รูป Aภาพถ่ายรังสีก่อนรับการรักษา รูปB ภาพถ่ายรังสีหลังได้รับการรักษาที่ 12 สัปดาห์

วิจารณ์

          จากอดีตถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแนวทางในการรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าอย่างมาก โดยเปลี่ยนเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกมากขึ้น เนื่องจากความเข้าใจรูปแบบการแตกหักมากขึ้น วิธีการผ่าตัดที่เข้าถึงชิ้นหักของกระดูกและรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ยึดกระดูกที่ดีขึ้น การรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยมในกระดูกหักบริเวณนี้จึงน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปหรือแนวทางที่ชัดเจนในการรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อน โดยมีหลายการศึกษาในอดีตที่เปรียบเทียบการรักษาด้วยการยึดตรึงกระดูกและการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม โดยยึดถือตามเกณฑ์ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดแบบเก่าเท่านั้น การรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อน ที่รพ.มหาราชนครราชสีมาส่วนใหญ่การรักษาในแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ทางคลินิกที่ค่อนข้างดี ซึงในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการศึกษาใดมาเปรียบเทียบการรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนทั้งสองวิธีนี้2,4,5, 8, 9, 19-27 

          จากการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ทางคลินิกหลังการผ่าตัดที่ 12  สัปดาห์ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กระดูกติดดีแล้วผู้ป่วยสามารถเริ่มกลับไปเดินใช้งานกระดูกข้างที่หักแล้วอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ของกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกได้ผลที่ดีถึงดีเลิศที่ร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับวิธีอนุรักษ์นิยมที่ร้อยละ 91 โดยแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แสดงถึงผลลัพธ์ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ผลลัพธ์ทางรังสีของกลุ่มที่ได้รับการยึดตรึงกระดูกมีผลลัพธ์ที่ดี ถึงร้อยละ 77 โดยเทียบกับวิธีอนุรักนิยมที่มีผลลัพธ์ที่ดีที่ร้อยละ 47 โดยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งบ่งบอกถึงการเคลื่อนตัวที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากการบาดเจ็บครั้งแรก (ตารางที่ 5 และ6)

จากการตรวจค้นการศึกษาในอดีตของ Segal เเละคณะ28 พบว่าเมื่อใช้ข้อบ่งชี้ ผิวข้อกระดูกยุบหรือ เคลื่อน >5 มม.เป็นข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดยึดตรึงกระดูก ซึ่งร้อยละ 76 ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึ่งพอใจ และ 81% ได้ผลลัพธ์ในเรื่องการงอเหยียดเข่าที่ 10 ถึง 90องศา ซึ่งเมื่อเทียบกับการศึกษาครั้งนี้พบว่าผลลัพธ์ในกลุ่มอนุรักษ์นิยมดีกว่า อาจเนื่องจากข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดที่แตกต่างกัน และในงานวิจัยของJensen และคณะ17 ได้เปรียบเทียบผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่า109 รายที่เข้ารับการรักษาทั้งสองแบบ พบว่าผลลัพธ์ทางคลินิกดีกว่าเล็กน้อยในกลุ่มอนุรักษ์นิยม แต่ผลลัพธ์ทางภาพรังสีใกล้เคียงกัน เป็นงานวิจัยที่ค่อนข้างเก่า และวิธีการรักษาด้วยการยึดตรึงกระดูกยังไม่ดีนักซึ่งแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนในผลลัพธ์ทางภาพถ่ายรังสี

ข้อจำกัดในการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้มีหลายข้อจำกัดเนื่องจากเป็นการศึกษาย้อนหลังทำให้ได้ข้อมูลบางส่วนที่ไม่ครบถ้วนโดยหลังสัปดาห์ที่20 มีร้อยละของการยกเลิกการติดตามรักษาเท่ากับ 76 ไม่ทราบถึงข้อบ่งชี้ในการเลือกวิธีรักษากระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนของแแพทย์ผู้รักษา โดยจากการศึกษาย้อนหลังพบว่าแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูงมักจากเลือกวิธีการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งต่างจากแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อยที่มักเลือกวิธีการรักษาด้วยการยึดตรึงกระดูกด้วยโลหะตามสมัยนิยม ซึ่งทำให้อาจเกิดอคติในการเลือกกลุ่มการรักษาได้ รวมถึงปริมาณผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มที่มีจำนวนไม่ใกล้เคียงกัน,การติดตามผลลัพธ์ทางภาพถ่ายรังสีที่ความละเอียดเป็นเพียงภาพถ่ายรังสีธรรมดาซึ่งอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่ละเอียดเท่าภาพถ่ายรังสีชนิด CT-scan และสุดท้ายระยะเวลาในการนัดติดตามอาการยังน้อยเกินไปเนื่องจากผลลัพธ์ในเรื่องข้อเข่าเสื่อมเป็นอีกตัวชี้วัดที่สำคัญในระยะยาวในการรักษากระดูกหน้าแข้งส่วนต้นหักแตกเข้าข้อเข่า ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ทางคลินิกของทั้งสองกลุ่มมีค่าเปลี่ยนแปลงได้

 

สรุป

การรักษาแบบอนุรักษ์นิยมในผู้ป่วยกระดูกหน้าเเข้งส่วนต้นหักเข้าข้อเข่าแบบไม่เคลื่อนนั้นยังคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาคนไข้นอกจากวิธีการผ่าตัดยึดตรึงกระดูก โดยผลลัพธ์ทางคลินิกหลังจากที่กระดูกติดแล้วใกล้เคียงกันในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์ทางภาพรังสีของกลุ่มอนุรักษ์นิยมมีโอกาสที่จะยุบเคลื่อนตัวได้มากกว่ากลุ่มที่ยึดตรึงกระดูกซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในระยะยาวหรือไม่

 

เอกสารอ้างอิง

1. Honkonen SE. Degenerative arthritis after tibial plateau fractures. J Orthop Trauma 1995; 9: 273-7.

2. Lansinger O, Bergman B, Korner L. tibial condylar fractures. A twenty-year follow-up. J Bone Joint Surg Am 1986; 68: 13-19.

3. Rasmussen PS. Tibial condylar fractures as a cause of degenerative arthritis. Acta Orthop Scand 1972; 43: 566-75.

4. Rademakers MV, Kerkhoffs GMMJ, Sierevelt IN. Operative treatment of 109 tibial plateau fractures: five to 27-year follow-up results. J Orthop Trauma 2007;21:5- 10.

5. Volpin G, Dowd GSE, Stein H. Degenerative arthritis after intra-articular fractures of the knee. J Bone Joint Surg Br 1990; 72: 634-8.

6. Furman BD, Olson SA, Guilak F. The development of post-traumatic arthritis after articular frcture. J Orthop Trauma 2006; 20: 719-25.

7. Salvi Prat-Fabregat,Pilar Camacho-Carrasco. Treatment strategy for tibial plateau fractures: an update. EFORT Open Rev 2016; 1: 225–32.

8. Steven DG, Beharry R, McKee MD. The long-term functional outcome of operatively treated tibial plateau fractures. J Orthop Trauma 2001; 15: 312-20.

9. Raza H, Hashimi P, Abbas K, Hafeez K. Minimally invasive plate osteosynthesis for tibial plateau fractures, J OrthopSurg (Hong Kong) 2012; 20: 42-7.

10. Schatzker J, McBroom R, Bruce D. The tibial plateau fracture: The Toronto experience 1968 to 1975. ClinOrthopRelat Res 1979; 138: 94-104.

11. Timmers TK, van de Ven DJ, de Vries LS, van Olden GD. Functional outcome after tibial plateau fracture osteosynthesis: A mean follow-up of 6 years. Knee 2014; 21: 1210-5.

12. Berkes MB, Little MT, Schottel PC. Outcomes of Schatzker II tibial plateau fracture open reduction internal fixation using structural bone allograft. J Orthop Trauma 2014; 28: 97-102.

13. Stahl D, Serrano-Reira R, Collin K. Operatively treated meniscal tears associated with tibial plateau fractures: A report on 661 patients. J Orthop Trauma 2015; 29: 322-4.

14. Weaver MJ, Harris MB, Strom AC. Fracture pattern and fixation type related to loss of reduction in bicondylar tibial plateau fractures. Injury 2012; 43: 864-9.

15. Basques BA, Webb ML, Bohl DD. Adverse events, length of stay, and readmission after surgery for tibial plateau fractures. J Orthop Trauma 2015; 29; e121-e126.

16. Anglen JO, Healy WL. Tibial plateau fractures. Orthopedics 1988; 11: 1527-34.

17. Jensen DB, Rude C, Duus B. Tibial plateau fractures : a comparison of conservative and surgical treatment. J Bone Joint Surg Br 1990; 72: 49-52.

18. Hohl M, Luck J. Fractures of tibial condyles : a clinical and experimental study. J Bone Joint Surg 1956; 38: 1001-18.

19. Manidakis N, Dosani A, Dimitriou R. Tibial plateau fractures : functional outcomes and incidence of osteoarthritis in 125 cases. Int Orthop 2010; 34: 565-70.

20. Luo CF, Sun H, Zhang B. Three- column fixation for complex tibial plateau fractures. J Orthop Trauma 2010; 24: 683-92.

21. Brunner A, Honigmann P, Horisberger M, Babst R. Open reduction and fixation of medial Moore type II fractures of the tibial plateau by a direct dorsal approach. Arch Orthop Trauma Surg 2009; 129:1233-8.

22. Gosling T, Schandelmaier P, Muller M. Single lateral locked screw plating of bicondylar tibial plateau fractures. ClinOrthopRelat Res 2005; 439: 207-14.

23. Egol KA, Su E, Tejwani NC. Treatment of complex tibial plateau fractures using the less invasive stabilization system plate:clinical experience and a laboratory comparison with double plating. J Trauma 2004; 57: 340-6.

24. Carlson DA. Posterior bicondylar tibial plateau fractures. J Orthop Trauma 2005;19:73-78.

25. Marsh JL, Buckwalter J, Gelberman R. Articular fractures:does an anatomic reduction really change the result? J Bone Joint Surg Am 2002; 84: 1259-71.

26. Gardner MJ, Yacoubian S, Geller D. The incidence of soft tissue injury in operative tibial plateau fractures: a magnetic resonance imaging analysis of 103 patients. J Orthop Trauma 2005; 19: 79-84.

27. Rasmussen PS. Tibial condylar fractures: impairment of knee joint instability as an indication for surgical treatment. J Bone Joint Surg Am 1973; 55: 1331-50.

28. Segal D, Mallik AR, Wetzler MJ. Early weight bearing of lateral tibial plateau fractures. ClinOrthopRelat Res 1993; 294: 232-7.

 

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

An Analysis of Orthopedic Injury Profiles of Pedestrian-Motor Vehicle in District Hospital (การวิเคราะห์รูปแบบภยันตรายทางออร์โธปิดิกส์ที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในโรงพยาบาลชุมชน)
 
Risk Factors Analysis of Gram-Negative Osteomyelitis (การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อกรัมลบในโพรงกระดูก)
 
Prevalence of Vitamin D Deficiency among Postmenopausal Women at Srinagarind Hospital, Khon Kaen Province, Thailand. (ความชุกของภาวะขาดวิตามินดีในสตรีวัยทองที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น)
 
Appropriate Tibial Tunnel Angle and Knee Flexion Angle for Aiming Femoral Insertion in Endoscopic Anterior Curciate Ligament Reconstruction (มุมอุโมงค์ที่กระดูกแข้ง และมุมงอเข่าที่เหมาะสมในการเล็งจุดเกาะของเอ็นไขว้หน้า)
 
<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

Orthopedics
 
 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0