Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Foot-care Knowledge of Diabetic Patients of Kukaew Community Hospital, Kukaew District, UdonThani Province

ความรู้ในการดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวาน เขตพื้นที่อำเภอกู่แก้วจังหวัดอุดรธานี

Papada Mahatthanapradir (ปภาดา มหัทธนะประดิษฐ์) 1, Poonrut Leyatikul (พูนรัตน์ ลียติกุล) 2, Manop Kanato (มานพ คณะโต) 3




หลักการและวัตถุประสงค์: โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่มีผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายส่วนในร่างกายเช่น ตา ไตและเท้า โดยเฉพาะการเกิดแผลที่เท้าหากไม่มีความรู้ในการดูแลเท้าที่ถูกวิธี อาจจะนำมาสู่การตัดเท้าและพิการได้ การมีความรู้เรื่องการดูแลเท้าจะช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของแผลที่เท้าได้การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าและความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวานในเขตอำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี

วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการในโรงพยาบาลกู่แก้ว อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี จำนวน 440 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยตอบเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไคสแควร์

ผลการศึกษา: กลุ่มศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 61.4 อายุเฉลี่ย 59.9 ปี (SD=9.7) เป็นโรคเบาหวานแล้วเฉลี่ย 9.4 ปี (SD=6.3) มีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานระดับสูง ร้อยละ 80.9 แต่มีประเด็นรายข้อ เรื่องแผลที่หายยากจากหลอดเลือดส่วนปลายและอาการชาที่เกิดจากประสาทส่วนปลายเสื่อมที่ผู้ป่วยมีความรู้น้อยเมื่อเทียบกับข้ออื่นๆจึงส่งผลให้มีการดูแลเท้าที่ไม่เหมาะสมและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้าและมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าระดับสูง ร้อยละ 45.0 โดยมีประเด็นข้อที่สำคัญ ได้แก่ หลังอาบน้ำควรเช็ดเท้าให้แห้ง ไม่ควรให้เท้าเกิดแผล ควรใส่รองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้าก่อนออกจากบ้าน ควรสวมใส่รองเท้าทุกครั้งและควรออกกำลังกายข้อเท้าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตที่ได้ตอบถูกจำนวนน้อย และเมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าความรู้เรื่องโรคเบาหวานมีความสัมพันธ์กับความรู้เรื่องการดูแลเท้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

สรุป: ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความรู้เรื่องโรคเบาหวานดีจะมีแนวโน้มที่จะมีความรู้ในการดูแลเท้าดีเช่นกัน ดังนั้น ผู้ดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ความรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้เพิ่มขึ้นและมีทักษะในการดูแลเท้าเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้า  

Background and objective: Diabetes mellitus is a chronic disease, resulting in various complications such as eyes, kidneys and foot, particulary foot ulcers. Without foot care knowledge, it could leads to limp amputation and disable. Foot care knowledge is essential to prevent foot ulcers and also decrease its severity. The purpose of this study was to explore foot care knowledge of diabetic patients of Kukaew Community hospital, Kukaew district, UdonThani province.

Methods: This is a cross-sectional descriptive study. 440 OPD diabetic patients of Kukaew Community hospital, Kukaew district, UdonThani province were recruited. Data collected using self-administered questionnaire. Data analyzed used frequency, percentage, mean, standard deviation and used chi-square test to compare proportions between diabetes knowledge and foot care knowledge

Results: It emerge that 61.4% of the samples were female. Age average was 59.9 years old (SD=9.7). Samples aware of getting diabetic for 9.4 years (SD=6.3) on average. 80.9% of the samples have sufficient knowledge, but there are few interesting Issues such as low knowledge about wound can be hardly from peripheral artery disease and numbness from neuropathy, comparing with the knowledge in other issues leading to inadequate, inappropriate foot care may risk to complications. foot care 45.0% have sufficient knowledge on foot care, especially that the feet should be dried after taking a bath, to avoid having ulcer, to wear the shoes that fit the foot before leaving home, to wear the shoes every time and to exercise of ankle. It was found that the knowledge on diabetes associating with knowledge on foot care statistically significance at 0.05

Conclusions:  Diabetes patients with good knowledge tend to have good foot care knowledge as well. The staff or caregiver should continue educating the patients to increase knowledge and skills in foot care to prevent foot complications

บทนำ

      โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง เป็นปัญหาสำคัญของเครือข่ายสุขภาพ ติด 1 ใน 4 โรคที่เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้นำโลกในการบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีจำนวนความชุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปี ค.ศ 1980 มีโรคเบาหวานอยู่ 180 ล้าน มีความชุกที่เพิ่มขึ้นจากปี ค.. 1980 จากร้อยละ 4.7 เป็น 8.5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ในช่วงปีที่ผ่านมามีความชุกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วปี ค..2012 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานถึง 1.5 ล้านคน ผู้ที่เสียชีวิตจากภาวะน้ำตาลในเลือดเกินกำหนด 2.2 ล้านคน และผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3.7 ล้านคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจร้อยละ 43 และเสียชีวิตก่อนอายุ 70 ปี โรคเบาหวานทุกชนิดสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายส่วนในร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้แก่ โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย การตัดขา ตาบอด และความเสียหายของระบบประสาท เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานจะส่งผลทางเศรษฐกิจกับผู้ป่วยโรคเบาหวานและครอบครัว รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ1

      ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า อัตราตายด้วยโรคเบาหวานระหว่างปี พ.ศ. 2553-2557 เท่ากับ 10.7, 11.8, 12.0, 14.9 และ 17.5 ต่อแสนประชากรตามลำดับ 2 โรคเบาหวานเป็นโรคที่สำคัญที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและพิการจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดแดงขนาดเล็กส่งผลให้เกิดพยาธิสภาพที่ตา ไต และการเสื่อมของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง การเกิดพยาธิของหลอดเลือดส่วนปลายและการเกิดแผลที่เท้าเนื่องจากการเสื่อมของปลายประสาทรับความรู้สึกจะมีผลต่อการเกิดแผลที่เท้าทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงที่เท้าลดลงมีความผิดปกติของรูปเท้า3 รวมทั้งยังทำให้ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดแผลที่เท้าและมักติดเชื้อได้ง่าย การเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวานพบตั้งแต่ ร้อยละ 1.7 ถึง 11.9 และมีอัตราการเกิดแผลใหม่ ร้อยละ 0.6 ถึง 2.2 ต่อปี4 ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสถูกตัดขามากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานประมาณ 10 – 15 เท่า5 นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดขา คือ ประวัติการเป็นแผลที่เท้า ภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานขึ้นตา และ การใช้อินซูลิน6

ดังนั้นการที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้และพฤติกรรมการดูแลเท้าที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดแผลที่เท้าซึ่งจะลดการตัดเท้าได้ร้อยละ 857 การดำเนินการป้องการภาวะแทรกซ้อนที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรให้ความสำคัญในเรื่องของการแนะนำเพื่อให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถดูแลตนเองได้ ทั้งเรื่องการตรวจเท้าอย่างสม่ำเสมอและการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การดูแลเท้าผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อป้องกันการเกิดแผลได้แก่ การสำรวจเท้าถึงความผิดปกติ การทำความสะอาดเท้า โดยการเช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้ง การทาโลชั่นเพื่อความชุ่มชื้นแก่ผิว การดูแลเล็บ การหนาตัวของผิวหนังที่เป็นสาเหตุของการเกิดแผล การสวมถุงเท้าเพื่อป้องกันการเสียดสีและการสวมรองเท้าที่เหมาะสม8

      จากรายงานสถิติสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.9 ใน พ.ศ. 2552 เป็นร้อยละ 8.9 ใน พ.ศ. 2557 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและกระจายอยู่ทุกพื้นที่ของประเทศไทย9และเขตจังหวัดอุดรธานีมีอัตราความชุกของโรคเท่ากับ 29.0 ต่อประชากรพันคน10 ในพื้นที่อำเภอกู่แก้วมีประชากรที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปีพ.ศ. 2558 จำนวน 1,510 ราย คิดเป็นอัตรา 69.0 ต่อประชากรพันคน ในปีพ.ศ. 2559  จำนวน 2,066 ราย คิดเป็นอัตรา 94.0 ต่อประชากรพันคน  ถึงปี พ.. 2560  จำนวนผู้ป่วยเท่ากับ 2,278 ราย คิดเป็นอัตรา 104.0 ต่อประชากรพันคน ในจำนวนผู้ป่วยดังกล่าวมีผู้ที่ได้รับการตัดนิ้วเท้าจำนวน 24 รายคิดเป็นร้อยละ 2.4 ของผู้ป่วยทั้งหมด การตัดนิ้วเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นภาระงานของนักกายภาพบำบัดและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยทุกคนต้องได้รับผิดชอบและดูแลภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ภารกิจหลักของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและสหวิชาชีพในโรงพยาบาลได้แก่ การให้ความรู้เรื่องดูแลเท้า และการประเมินภาวะเสี่ยงจากการตัดเท้า จากผลการตรวจประเมินในปีงบประมาณ 2559 พบว่ามีภาวะเสี่ยงในการตัดเท้าอยู่ในระดับเสี่ยงน้อย จำนวน 552 ราย (ร้อยละ 57.1) ระดับเสี่ยงปานกลาง จำนวน 198 ราย (ร้อยละ 20.0) และระดับเสี่ยงสูง จำนวน 216 ราย (ร้อยละ 22.0)11

จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบปัญหาคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ให้ความสนใจในการดูแลเท้าของตนเอง เช่นไม่สวมใส่รองเท้าที่เหมาะสม ไม่ปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ และไม่สนใจเข้าร่วมการตรวจเท้าประจำปีเป็นต้นดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความรู้เรื่องการดูแลเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เขตพื้นที่อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี เพื่อนำผลการศึกษามาใช้เป็นแนวทางสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการวางแผนการดำเนินงาน ของกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานต่อไป

 

วิธีการศึกษา

      เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross–sectional descriptive study) เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้า และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน พื้นที่อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี

       ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ประชากรทั้งหมด 966 ราย คำนวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของเดเนียล  เท่ากับ 367 ราย และเก็บเพิ่มเพื่อป้องกันการสูญหายจากการไม่ตอบแบบสอบถาม เพิ่มขนาดตัวอย่างร้อยละ 20 จึงมีขนาดตัวอย่างจำนวน 440 ราย เกณฑ์การคัดเข้ากลุ่มตัวอย่าง คือ เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อาศัยอยู่ในอำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี และอายุ 18 ปีขึ้นไป เกณฑ์การคัดออกคือ ไม่สามารถสื่อสารเพื่อเกิดความเข้าใจได้และปฏิเสธการเข้าร่วมโครงการ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามช่วงเวลาที่กำหนด (Consecutive sampling) นับหลังจากวันที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งกำหนดเป็นตัวอย่างรายแรกจากการตอบแบบสอบถามและนับจำนวนต่อไปจนครบ

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้แบบสอบถามโดยตอบเอง

              แบบสอบถามประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แบบสอบถามได้สร้างครอบคลุมเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ ได้ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ผ่านการทดสอบใช้และตรวจสอบวิเคราะห์ความเที่ยง (Reliability) โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิแอลฟ่าของครอนบราช (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยหมวดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน เท่ากับ 0.68 ความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าเท่ากับ 0.67 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานมีคำถาม 5 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามเกณฑ์ร้อยละ คือ ร้อยละ 60 ขึ้นไปความรู้ระดับดี และตํ่ากว่าร้อยละ 60 มีความรู้ในระดับตํ่าความรู้เรื่องการดูแลเท้ามีทั้งหมด 10 ข้อ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ตามเกณฑ์ร้อยละ คือ ร้อยละ 80 ขึ้นไปความรู้ระดับดี และตํ่ากว่าร้อยละ 80 มีความรู้ในระดับตํ่า

       การเก็บข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม พ..2561 และมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 440 ราย

การวิเคราะห์ข้อมูล ดำเนินการจัดการข้อมูลโดยทำการตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลลงรหัสนำเข้าข้อมูล และนำเข้าข้อมูลแบบ Data Double Entry เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลและใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS for Window version 19 (Statistical Packages for the Social Science) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ตัวแปรเชิงกลุ่มพรรณนาโดยใช้การแจกแจงความถี่และร้อยละ ตัวแปรต่อเนื่อง ใช้ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

สถิติเชิงอนุมาน (Inference statistics) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความรู้ในการดูแลเท้าโดยใช้สถิติ Chi-square test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05

จริยธรรมการศึกษา ผู้วิจัยเริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลภายหลังจากผ่านการอนุมัติการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่ : HE601457 การสัมภาษณ์ได้อธิบายให้อาสาสมัครเข้าใจและรับทราบให้ความยินยอมหรือไม่ให้การยินยอมในการศึกษาครั้งนี้ หากไม่เข้าร่วมโครงการวิจัยจะไม่เสียสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล อาสาสมัครสามารถยุติการเข้าร่วมวิจัยได้ตลอดเวลาและข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจะนำเสนอข้อมูลทางวิชาการในภาพรวม

 

ผลการศึกษา

จากการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีอายุเฉลี่ย 59.9 ปี (SD=9.7) ระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวานเฉลี่ย 9.38 ปี (SD=6.3) มีระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวานอยู่ที่ 1-10 ปี (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไป (n= 440)

ข้อมูลทั่วไป

จำนวน (ร้อยละ)

เพศ

ชาย

170 (38.6)

หญิง

270 (61.4)

อายุ (ปี)

น้อยกว่า 60

210 (47.7)

มากกว่า 60 ขึ้นไป

230 (52.3)

(Mean= 59.9 ปี, SD=9.7)

ระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวาน (ปี)

1-10

316 (71.8)

11-20

99 (22.5)

21ขึ้นไป

25 (5.7)

(Mean = 9.38 ปี, SD=6.3)

             

        

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         คำถามที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้เรื่องโรคเบาหวานและตอบถูกมากที่สุดคือ โรคเบาหวานสามารถก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมา 386 ราย ร้อยละ 87.7 รองลงมาคือ ทำให้สายตาพร่ามัว 376 ราย ร้อยละ 85.5 และเป็นโรคที่ไม่ติดต่อ 336 ราย ร้อยละ 76.4 ตามลำดับ (ตารางที่ 2)

 

ตารางที่ 2 ผลคะแนนความรู้เรื่องโรคเบาหวาน

ข้อคำถามความรู้เรื่องโรคเบาหวาน

ถูกต้อง

จำนวน (ร้อยละ)

1.    โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่ติดต่อ

336 (76.4)

2.   โรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูง

386 (87.7)

3.   แผลที่หายยาก ใช้เวลารักษานาน ของผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดจากหลอดเลือดส่วนปลายมีปัญหาหรือผิดปกติ

184 (41.8)

4.   อาการชาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แสดงว่าประสาทส่วนปลายเสื่อมสภาพ

192 (43.6)

5.   โรคเบาหวานทำให้สายตาพร่ามัว

376 (85.5)

      

            ข้อความรู้เกี่ยวกับการดูแลเท้าที่กลุ่มตัวอย่างตอบถูกมากที่สุดคือ ความรู้ในข้อก่อนออกจากบ้านควรใส่รองเท้าทุกครั้ง ร้อยละ 93.4 รองลงมาคือ ไม่ควรให้เท้าเกิดแผล ร้อยละ 93.0 และหลังอาบน้ำควรเช็ดเท้าให้แห้ง ร้อยละ 91.8 ตามลำดับ ส่วนข้อที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีความรู้เพื่อนำไปสู่การดูแลเท้าที่เหมาะสมและป้องกันการเกิดแผล แต่ผู้ป่วยตอบถูกน้อย ได้แก่ ควรทาครีมหรือทาโลชั่นที่เท้า ร้อยละ 35.5 การสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้ง ร้อยละ 48.0 ควรใช้ผ้าเช็ดง่ามเท้าให้แห้ง ร้อยละ 53.9 และการใส่รองเท้าที่มีสายหุ้มส้น 59.3 เป็นต้น (ตารางที่ 3)

ตารางที่ 3  ผลคะแนนความรู้เรื่องการดูแลเท้า

ความรู้เรื่องการดูแลเท้า

ถูกต้อง

จำนวน (ร้อยละ)

1. หลังอาบน้ำควรเช็ดเท้าให้แห้ง

404 (91.8)

2. ควรใช้ผ้าเช็ดง่ามเท้าให้แห้ง

237 (53.9)

3. ควรทาครีมหรือทาโลชั่นที่เท้า

156 (35.5)

4. ควรสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้ง

211 (48.0)

5. ตัดเล็บควรให้เสมอปลายนิ้วเท้า

323 (73.4)

6. ไม่ควรให้เท้าเกิดแผล

409 (93.0)

7. ควรใส่รองเท้ามีสายหุ้มส้น

261 (59.3)

8. ควรใส่รองเท้าให้พอดีกับขนาดเท้า

393 (89.3)

9. ก่อนออกจากบ้านควรใส่รองเท้าทุกครั้ง

411 (93.4)

10. ควรออกกำลังกายข้อเท้าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด

379 (86.1)

         ความสัมพันธ์ของระดับความรู้เรื่องโรคเบาหวานและระดับความรู้เรื่องการดูแลเท้าพบว่าผู้ที่มีระดับความรู้อยู่ในระดับสูงจะมีสัดส่วนระดับความรู้ในการดูแลเท้าในระดับสูง ร้อยละ 51.5 ส่วนผู้ที่มีระดับความรู้อยู่ในระดับต่ำจะมีสัดส่วนการมีระดับความรู้ในการดูแลเท้าในระดับสูง ร้อยละ 21.4 ซึ่งแตกต่างกันและอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) (ตารางที่ 4)

 

ตางรางที่ 4 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรู้เรื่องโรคเบาหวานกับระดับคะแนนความรู้การดูแลเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ระดับความรู้เรื่องโรคเบาหวาน

ระดับคะแนนการดูแลเท้า

p-value

ความรู้การดูแลเท้า

ที่ต่ำ

ความรู้การดูแลเท้า

ที่สูง

มีความรู้ต่ำ 

55 (78.6)

15 (21.4)

<0.001

มีความรู้สูง

172 (48.5)

183 (51.5)

 

 

วิจารณ์

       จากผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความรู้เรื่องโรคเบาหวานระดับสูงร้อยละ 80.9 ประเด็นที่มีความรู้แล้วและตอบได้มากว่าร้อยละ 60 คือ โรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูง ทำให้สายตาพร่ามัวและเป็นโรคไม่ติดต่อ นอกจากนี้ยังพบข้อคำถามที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้ที่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ยังขาดความรู้ได้แก่ อาการชาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แสดงว่าประสาทส่วนปลายเสื่อมสภาพ และแผลที่หายยากใช้เวลารักษานานของผู้ป่วยเกิดจากหลอดเลือดส่วนปลายมีปัญหาหรือผิดปกติ

      ความรู้เรื่องการดูแลเท้าพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้เรื่องการดูเท้าสูงร้อยละ 45.0 พบข้อที่มีความรู้แล้วได้แก่ หลังอาบน้ำควรเช็ดเท้าให้แห้ง ไม่ควรทำให้เท้าเกิดแผล ควรใส่รองเท้าให้พอดีกับขนาดเท้า ก่อนออกจากบ้านควรใส่รองเท้าทุกครั้ง ควรออกกำลังกายข้อเท้าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดและตัดเล็บให้เสมอกับปลายนิ้ว  นอกจากนี้ยังพบว่ามีประเด็นที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้น้อยได้แก่ ควรใช้ผ้าเช็ดง่ามเท้าให้แห้ง ควรทาครีมหรือโลชั่นที่เท้า ควรสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้งและควรใส่รองเท้าที่มีสายหุ้มส้น

ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เรื่องโรคเบาหวานกับความรู้เรื่องการดูแลเท้าจากการศึกษาพบว่า ระดับความรู้เรื่องโรคเบาหวานที่สูงจะมีแนวโน้มมีระดับความรู้เรื่องการดูแลเท้าที่สูงไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้อาจะเป็นเพราะว่ากลุ่มตัวอย่างที่มารับบริการที่โรงพยาบาลกู่แก้วจะได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในด้าน ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ความรู้เรื่องการดูแลเท้า พฤติกรรมการดูแลเท้าและการออกกำลังกายเมื่อผู้ที่มารับบริการได้รับฟังความรู้จากเจ้าหน้าเป็นประจำ จึงอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตรงกับทฤษฎีความรู้ของ เบนจามินบลูมและคณะกล่าวว่า พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด โดยความรู้หรือการที่ได้รับรู้จะก่อให้เกิดความเข้าใจ12ซึ่งความรู้เรื่องโรคเบาหวานที่กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ ร้อยละ 80.9ไม่สอดสอดคล้องกับงานวิจัยจากการศึกษาความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบางทราย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องโรคเบาหวานอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 62.913 ความรู้เรื่องการดูแลเท้าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ให้เป็นแผลที่เท้า14-16และจากการศึกษายังพบว่าความรู้เรื่องการดูแลเท้าในหัวข้อเรื่องการทาครีมหรือทาโลชั่นที่เท้า การสวมถุงเท้าทุกครั้ง การใช้ผ้าเช็ดง่ามเท้าให้แห้งและการใส่รองเท้าหุ้มส้น ซึ่งกลุ่มตัวอย่างตอบได้คะแนนต่ำ คือ ตอบถูกต้องร้อยละ 35.5, 48.0 ,53.9 และ 59.3 ตามลำดับแสดงถึงการมีความรู้เรื่องการดูแลเท้าที่น้อยส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าส่งผลในภาพรวมพบกลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องการดูแลเท้า ร้อยละ 45.0 ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษาความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ปี พ.ศ. 2554 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องการดูแลเท้าผู้ป่วยโรคเบาหวาน คิดเป็นร้อยละ 61.417

ข้อเสนอแนะ

         หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มองค์ความรู้เรื่องปัจจัยที่ส่งผลให้แผลที่เท้าหายช้าและภาวะแทรกซ้อนของเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมทั้งนำองค์ความรู้เหล่านี้มาประยุกต์เพื่อวางแผนติดตามผู้ป่วยในชมชุนและสร้างความตระหนักให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานดูแลเท้าให้เหมาะสม เพื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานจะได้มีสุขภาพเท้าที่ดี

กิตติกรรมประกาศ

            ขอขอบพระคุณคณาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่กรุณาประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้คำปรึกษาแนะนำ ให้กำลังใจในการศึกษา และผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่านที่ให้ความร่วมมือตลอดจนจบโครงการ

เอกสารอ้างอิง

1.     World health organization(WHO). Global report on diabetes; 2016. [Cited August 15, 2016]. Available from: http://www.who.int/diabetes/global-report/en/

2.     สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. จำนวนและอัตราผู้ป่วยในโรคเบาหวาน (E10-E14) ต่อประชากร 100,000 คน (รวมทุกการวินิจฉัยโรค) ปี พ.. 2550-25560 จำแนกรายจังหวัดเขตสคร. และภาพรวมประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) (สืบค้นอินเตอร์เน็ต). [สืบค้นเมื่อ 10 .. 2561] แหล่งข้อมูล: http://thaincd.com/information-statistic/non-communicable-disease-data.php

3.     อำภาพร นามวงศ์พรหม, น้ำอ้อย ภักดีวงศ์. การเกิดแผลที่เท้าและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวาน. วารสารการพยาบาล 2553; 25: 51-63.

4.     Boulton AJ. Vilkeite L, Ragnarson-Tennall G, Apelqvist J. The global burden of diabetic foot disease. Lancet 2005; 366: 1719-24.

5.    Most RS, Sinnock P. The epidemiology of lower extremity amputations in diabetic individuals. Diabetes Care 1983; 6: 87-91.

6.    Krittiyawong S,Ngamrukos C, Benjasuratwong Y, Rawdaree P, Leelawatana R, Kosachunhahun N, et al. Thailand Diabetes Registry Project: Prevalence and Risk Factors Associated with Lower Extremity Amputation in Thai Diabetics. J Med Assoc Thai 2006; 89 (Suppl 1): S43-8.

7.     Tabachnick BG, Fidell LS. Using multivariate statistics. Allyn & Bacon/Pearson Education, 2007. 

8.     สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เท้าในผู้เป็นเบาหวาน.โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2558.

9.     สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.2559 [วันที่สืบค้น 10 กันยายน 2560] แหล่งที่มา http://www.dmthai.org

10.   ศูนย์ข้อมูลระบบ NCD สสจ. อุดรธานี.2559. [วันที่สืบค้น 2 สิงหาคม 2560]. แหล่งที่มา https://www.udo.moph.go.th

11.   อุมาพร สันธนะศักดิ์. แฟ้มบันทึกข้อมูลคลินิกผู้ป่วยเบาหวานปีที่2, 2559

12.   คุณากร แสงอุ่น. ทฤษฎีของ bloom’s taxonomy.2559 [สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561] จากเว็บไซต์: http://kunakorn001.blogspot.com/2016

13.   ลักษณา พงษ์ภุมมา. ความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบางทราย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี.2560 [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561]. จากเว็บไซต์ : http://journal.hcu.ac.th/pdffile/jn2040/บทที่%206.pdf

14.   Levin ME. Preventing amputation in the patient with diabetes. Diabetes care 1995; 18: 1383-94.

15.   Armstrong DG, Todd WF, Lavery LA, Harkless LB, Bushman TR. The natural history of acute Charcot's arthropathy in a diabetic foot specialty clinic. JAPMA 1997; 87: 272-8.

16.   Schon, Lew C, Mark E, Easley, Steven B, Weinfeld. Charcot neuroarthropathy of the foot and ankle. Clinical orthopaedics and related research 1998; 349: 116-31.

17. จิตรานนท์ โกสีย์รัตนาภิบาล. ความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเท้าของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ปีพ.ศ.2554. [สืบค้นเมื่อวันที่ 5พฤษภาคม 2561] จากเว็บไซต์: http://www.skko.moph.go.th

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

 
Diabetic Control, Proteinnuria and Diabetic Retinopathy in Diabetes Clinic at Petchabun Hospital (การควบคุมเบาหวาน การตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะและเบาหนาวเข้าจอประสาทตาในคลินิกเบาหวานโรงพยาบาลเพชรบูรณ์)
 
Self-care Practices of Non-Insulin Dependent Diabetic Patients (พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)
 
Self – Care of Non – insulin Dependent Diabetic Patients with Early Diabetic Retinopathy. (พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มีภาวะแทรกซ้อนทางจอประสาาทตาระยะเริ่มแรก)
 
<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

Diabetes
 
Community Medicine
 
Health Care Delivery
 
 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0