Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Management of Radiation Exposure Received from Pulse Fluoroscopy during Percataneous Transheptic Biliang Drainage in Cholangiocarcinoma Patients

การจัดการได้รับรังสีขณะใช้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ฉายรังสีแบบลูกคลื่น ระหว่างการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังในผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี

Varaporn Silavised (วราภรณ์ ศิลาวิเศษ) 1, Amornrat Mangsa (อมรรัตน์ มังษา) 2, Somsak Wongsanon (สมศักดิ์ วงศ์ษานนท์) 3, Benjong Keonkaew (บรรจง เขื่อนแก้ว) 4, Eimorn Mairiang (เอมอร ไม้เรียง) 5, Petcharakorn Hanpanich (เพชรากร หาญพานิชย์ ) 6




บทคัดย่อ

หลักการและวัตถุประสงค์: การรักษาผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีด้วยการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง ส่วนใหญ่ทำหัตถการภายใต้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ฉายรังสีแบบลูกคลื่น ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์มีโอกาสได้รับปริมาณรังสีสูง คณะผู้วิจัยได้ศึกษาเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นที่ยังคงคุณภาพของภาพฟลูออโรสโคปีย์โดยใช้ปริมาณรังสีน้อยที่สุด

วิธีการศึกษา: ทำการวิจัยโดยการวัดและคำนวณหาค่าปริมาณรังสีที่หุ่นเนื้อเยื่อจำลองและที่ผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีที่ได้รับการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังภายใต้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ฉายรังสีแบบลูกคลื่น จำนวน 120 ราย และศึกษาคุณภาพของภาพถ่ายฟลูออโรสโคปีย์ที่ได้ การวิจัยครั้งนี้ทำการศึกษาวิจัย ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผลการศึกษา: พบว่าปริมาณรังสีในหุ่นเนื้อเยื่อจำลองเท่ากับ 3.354, 6.577 และ 10.884 มิลลิเกรย์  จากเทคนิค 3.5, 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที ตามลำดับ ที่เทคนิค 3.5 ภาพต่อวินาทีเกิดภาพเงาซ้อนจึงไม่ใช้กับผู้ป่วยจริงปริมาณรังสีที่ผิวหนังเฉลี่ยต่อนาทีของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง เท่ากับ 0.94 ± 0.38  และ 1.82 ± 0.91 มิลลิเกรย์  จากเทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที ตามลำดับ รายละเอียดของภาพจากเทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที ทั้งในหุ่นเนื้อเยื่อจำลองและผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังไม่แตกต่างกัน

สรุป: เทคนิคฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น 7.5 ภาพต่อวินาที ทำให้ได้ภาพฟลูออโรสโคปีย์ที่มีคุณภาพสำหรับการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง และใช้ปริมาณรังสีน้อยที่สุด

คำสำคัญ : การใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง ฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น ปริมาณรังสี

 

Abstract

Background and objectives:  The treatment of cholangiocarcinoma by percutaneous transhepatic biliary drainage is usually performed under pulse fluoroscopy. The authors studied the optimal  radiation dose in pulse fluoroscopy techniques and image quality to reduce radiation dose exposed to patients and medical personals.

Methods: Radiation dose in phantom and in 120 patients who underwent percutaneous transhepatic biliary drainage during pulse fluoroscopy were analyzed. The image quality was  studied. The study was performed at Srinagarind Hospital, Faculty of Medicine, Khon Kaen University.

Results: The radiation doses in phantom were 3.354 6.577 and 10.884 mGy by using 3.5, 7.5 and 15 frame-per-second protocol, respectively. At the 3.5 frame-per-second protocol, the  image presented shadow, so it was inappropriate for use in patients. The average of enhance skin dose in minute of patients who underwent percutaneous transhepatic biliary drainage were 0.94 ± 0.38  and 1.82 ± 0.91 mGy by using 7.5 and 15 frame-per-second protocol, respectively. There was no significant difference in image quality between the phantom and patients percutaneous transhepatic biliary drainage between using 7.5 and 15 frame-per-second protocol.

Conclusion: Pulse fluoroscopy at 7.5 frame-per-second protocol provided optimum radiation dose and image quality for percutaneous transhepatic biliary drainage.

Key words: percutaneous transhepatic biliary drainage, pulse fluoroscopy, radiation dose

 

บทนำ

ปัจจุบันประเทศไทยพบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีทำได้โดยการผ่าตัดและการใส่สายระบายน้ำดี การรักษาด้วยวิธีการใส่สายน้ำดี รังสีแพทย์มีความจำเป็นที่จะต้องทำหัตถการภายใต้การเอกซเรย์ด้วยเครื่องฟลูออโรสโคปีย์ในการติดตามการสอดใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังของผู้ป่วยเพื่อระบายน้ำดีออก1-4 วิธีการนี้เรียกว่า percutaneous transhepatic biliary drainage (PTBD) อย่างไรก็ตามจากการทำหัตถการภายใต้การเอกซเรย์ด้วยเครื่องฟลูออโรสโคปีย์ทำให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์จะได้รับปริมาณรังสีที่อาจจะส่งผลข้างเคียงได้5 ทั้งนี้ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยและบุคลลากรทางการแพทย์ได้รับในขณะการทำการตรวจด้วยเทคนิคฟลูออโรสโคปีย์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ระยะเวลา ขนาดภาพ  ขนาดผู้ป่วย ระยะระหว่างหลอดเอกซเรย์ (X-ray  tube) กับผู้ป่วย  ระยะระหว่างผู้ป่วยกับตัวรับภาพ (image receptor) และการฉายรังสีในการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น (pulse fluoroscopy) กำหนดเป็นอัตราภาพต่อวินาที (frame per second: fps)   หากให้อัตรายิ่งสูงภาพจะได้ภาพที่มีคุณภาพดีแต่ปริมาณรังสีที่ใช้ในการตรวจจะมาก ในทางตรงข้ามการใช้อัตราต่ำจะทำให้ภาพรังสีที่มีลักษณะของการเคลื่อนไหว ขาดความต่อเนื่อง แต่ปริมาณรังสีจากการตรวจจะน้อยลง6-8 มีรายงานถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตรวจวินิจฉัยเพื่อหารอยโรคภายใต้การเอกซเรย์ด้วยเครื่องฟลูออโรสโคปีย์ที่ให้อัตราปริมาณรังสีมากกว่า 0.1 เกรย์ (Gy) ต่อ 1 นาที เป็นเวลา 1 นาทีว่ามีโอกาสเหนี่ยวนำให้ผู้ป่วยเกิดขนร่วง และต้อกระจก6,8  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการที่จะหามาตรการในการป้องกันอันตรายจากรังสีให้กับผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงานทางรังสีการแพทย์ โดยเฉพาะปริมาณรังสีในขณะที่ทำการตรวจภายใต้การเอกซเรย์ด้วยเครื่องฟลูออโรสโคปีย์ อย่างไรก็ตามการดำเนินการตรวจวัดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณรังสียังมีค่อนข้างจำกัด

ในการศึกษาครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ศึกษาถึงปริมาณรังสีในการรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีโดยวิธีการใส่สายระบายน้ำดีผ่านผิวหนังภายใต้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ (percutaneous transhepatic biliary drainage (PTBD) โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดจากการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น

 

วิธีการศึกษา

          การศึกษาปริมาณรังสีในหุ่นเนื้อเยื้อจำลอง (phantom)

ในการศึกษาปริมาณรังสีในหุ่นเนื้อเยื่อจำลองนี้  คณะผู้วิจัยได้ใช้หุ่นเนื้อเยื่อจำลองทรวงอกซึ่งมีเนื้อเยื่อสมมูลกับร่างกายหนา 20 เซนติเมตร (07-647, Cardinal Health) พารามิเตอร์ที่ใช้คือ field size ของ flat detector เท่ากับ 42 เซนติเมตร   FDD (focus-detector distance) เท่ากับ 90 เซนติเมตร และ FSD (focus-skin distance) เท่ากับ 52  เซนติเมตร    กิโลวอล์ท (kilovolt, kV) เท่ากับ 78     มิลลิแอมแปร์ (milliampare, mA)  เท่ากับ 20.7   เวลาฟลูออโรสโคปีย์ 1 นาที  และตั้งค่าการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นที่ 3.5,  7.5 และ 15 ภาพต่อวินาทีแล้วทำการวัดปริมาณรังสี

การศึกษาความละเอียดของภาพ

ในการศึกษาความละเอียดของภาพนี้ คณะผู้วิจัยได้ถ่ายภาพ line pair ซึ่งมีหน่วยเป็น line pair per centimeter โดยตั้งค่าการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นที่ 3.5,  7.5 และ 15 ภาพต่อวินาทีแล้วทำการประเมินความละเอียดของภาพที่ได้โดยรังสีแพทย์

การวัดปริมาณรังสี

ในการศึกษาครั้งนี้ได้วัดปริมาณรังสีในแต่ละผู้ป่วยด้วย ionization chamber ที่เชื่อมต่ออยู่กับระบบ collimator ของหลอดเอกซเรย์ของเครื่อง digital fluorography C-arm (Philips Xper FD20, Philips) ปริมาณรังสีที่วัดจากพื้นการแผ่รังสีครั้งนี้คือ dose area product มีหน่วยเป็นมิลลิเกรย์ต่อตารางเซนติเมตร คณะผู้วิจัยยังได้บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณรังสีคือ kilovolts, milliampare, เวลา และ air kerma    การคำนวณหาค่าปริมาณรังสีบริเวณผิวหนัง (entrance skin dose, ESD) คำนวณจากสมการดังต่อไปนี้

 

 

 

การใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง (percutaneous transhepatic biliary drainage procedure)

ใช้เข็มขนาด 5 French ที่มีปลอก แทงไปที่ท่อน้ำดีโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์ชี้นำทาง ดึงแกนเข็มออกเหลือแต่ปลอก ถ้าเข้าท่อน้ำดีจะได้น้ำดีไหลออกมา ใช้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์สร้างภาพเพื่อดูขณะทำการสอดใส่อุปกรณ์เข้าไปในร่างกาย ตรวจตำแหน่งเข็มและท่อน้ำดีโดยฉีดสารทึบรังสีแล้วใส่อุปกรณ์ลวดตัวนำสอดเข้าไปในท่อน้ำดี พยายามให้ผ่านก้อนและให้ระบายน้ำดีจากตับได้ จากนั้นใส่สายระบายน้ำดีเมื่อสายไปอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ทำการดึงปลายสายโค้งงอเป็นวงอยู่ในท่อน้ำดีเพื่อกันไม่ให้สายหลุดออก

 

กลุ่มตัวอย่าง

ผู้ป่วยในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีที่มีการอุดตันของทางเดินน้ำดี   มีสภาวะน้ำดีค้างอยู่ในท่อน้ำดี  และมีการขยายตัวของท่อน้ำดีขนาดใหญ่กว่า   4  มิลลิเมตร โดยดูจากภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง หรือการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และประเมินโดยรังสีแพทย์ก่อนใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง  

ข้อพิจารณาทางด้านจริยธรรม

การศึกษาครั้งนี้ได้ผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่โครงการ HE541073

การวิเคราะห์ทางสถิติ

การศึกษาครั้งนี้ได้เลือกใช้ Independent t-test โดยใช้ค่านัยสำคัญที่ p<0.01

 

ผลการศึกษา

การศึกษาปริมาณรังสีในหุ่นเนื้อเยื้อจำลอง

เพื่อเป็นแนวทางและกำหนดเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นที่เหมาะสมในการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังในผู้ป่วย   คณะผู้วิจัยได้เลือกใช้หุ่นเนื้อเยื่อจำลองทรวงอกหาปริมาณรังสีที่เกิดจากการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น   3.5, 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที ระยะเวลาการฟลูออโรสโคปีย์ 1 นาที พบว่า ปริมาณรังสีเพิ่มขึ้น เมื่อการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นเพิ่มขึ้น โดยมีค่าปริมาณรังสีเท่ากับ 3.354, 6.577 และ 10.884 มิลลิเกรย์ ตามลำดับ (ตารางที่ 1)

 

ตารางที่ 1 แสดงปริมาณรังสีที่ pulse fluoroscopy ต่างๆ

pulse fluoroscopy (frame/sec.)

ปริมาณรังสีที่  fluoroscopy  time 1 min.

DAP (mGy/cm2)

air kerma (mGy)

3.5

1,773

3.354

7.5

3,481

6.577

15

5,717

10.884

 

คุณภาพของภาพฟลูออโรสโคปีย์

คุณภาพของภาพรังสีในการวิจัยในครั้งนี้ ศึกษาจากการฟลูออโรสคปีย์หุ่นจำลองที่มีการเคลื่อนไหวของสาย PTBD พร้อมนำ phantom 07-647, Cardinal Health มาวิเคราะห์คุณภาพภาพฟลูออโรสคปีย์โดยพิจารณาจากรายละเอียดของภาพ (resolution) ซึ่งประเมินจากค่า line pairs/cm   ความแตกต่างความดำของภาพ (contrast ) ประเมินจากขนาดของวัตถุที่เล็กที่สุดที่สามารถมองเห็นได้   และความต่อเนื่องของภาพรังสี  ประเมินจากการยอมรับของรังสีแพทย์   ผลการศึกษา (รูปที่ 1 ก ข และ ค) แสดงภาพฟลูออโรสโคปีย์ของ line pair ที่ถ่ายด้วยเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น 3.5, 7.5 และ 15  ภาพต่อวินาที  ตามลำดับ จากภาพจะเห็นได้ว่าภาพฟลูออโรสโคปีย์ของ line pair ที่ถ่ายด้วยเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น 3.5 ภาพต่อวินาที การดำเนินไปของภาพขาดความต่อเนื่องมากจนทำให้เกิดเงาซ้อนจึงยอมรับไม่ได้ ในขณะที่การยอมรับของความต่อเนื่องของภาพเทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที ยอมรับได้ทั้ง 2 เทคนิคไม่มีความแตกต่างกัน แต่ในขณะที่ค่ารายละเอียดของภาพ (resolution) ความแตกต่าง (contrast) ของภาพ ทั้ง 3 เทคนิคไม่มีความต่าง (ตารางที่ 2)

 

รูปที่ 1 แสดงภาพฟลูออโรสโคปีย์ของ line pair ที่ถ่ายด้วยเทคนิค pulse fluoroscopy 3.5 (ก) 7.5 (ข) 15 (ค)ภาพต่อวินาที และ ภาพ ก แสดงให้เห็นว่ามีเงาซ้อนจากการขาดความต่อเนื่องเป็นอย่างมากเมื่อวัตถุเคลื่อนไหว

 

ตารางที่ 2 แสดงรายละเอียดภาพ (resolution)     ความแตกต่าง (contrast) ของภาพ การยอมรับความต่อเนื่องของภาพที่ pulse fluoroscopy ต่างๆ

pulse

fluoroscopy (frame/sec.)

หัวข้อประเมิน

รายละเอียดภาพ (resolution) ที่เห็นอยู่ในระดับ

contrast ของภาพความแตกต่างเห็นวัตถุขนาดเล็กที่ระดับ

ความต่อเนื่องของภาพที่แสดงขณะฟลูออโรสโคปีย์

3.5

1.6  lp/cm.

4  mm.

ยอมรับไม่ได้

7.5

1.6  lp/cm.

4  mm.

ยอมรับได้

15

1.6  lp/cm.

4  mm.

ยอมรับได้

 

 

การเปรียบเทียบปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับในการทำ PTBD ด้วยเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที

          เนื่องจากภาพฟลูออโรสโคปีย์ของ line pair ที่ถ่ายด้วยเทคนิคการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น  3.5 ภาพต่อวินาที มีเงาซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของภาพและการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง คณะผู้วิจัยจึงได้เลือกใช้เทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาทีในการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนัง  กับผู้ป่วยจริงโดยภาพฟลูออโรสโคปีย์ (รูปที่ 2)  และเมื่อประเมินภาพฟลูออโรสโคปีย์จากเทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาทีโดยรังสีแพทย์ พบว่าภาพฟลูออโรสโคปีย์ทั้ง 2 ยอมรับได้ ค่าพารามิเตอร์และปริมาณรังสีในแต่ละเทคนิค(ตารางที่ 3) จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่าค่า kV, mAs และ fluoroscopy time ของแต่ละเทคนิคมีค่าใกล้เคียงกัน แต่ในขณะที่ปริมาณรังสี (air kerma และ DAP) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากระยะเวลาในการฟลูออโรสโคปีย์ไม่เท่ากัน คณะผู้วิจัยใช้ปริมาณรังสีต่อ 1 นาที ทำค่าปริมาณรังสีเฉลี่ย (ESD/minute) ในการเปรียบเทียบปริมาณรังสีจากเทคนิค 7.5 และ 15 ภาพต่อวินาที จากการศึกษาพบว่า ปริมาณรังสีเฉลี่ยต่อนาที จากเทคนิค 7.5 ภาพต่อวินาที ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิค 15 ภาพต่อนาที อย่างมีอย่างมีนัยสำคัญ (ตารางที่ 4) 

 

 

รูปที่ 2 แสดงภาพฟลูออโรสโคปีย์ของผู้ป่วยที่ได้รับการใส่สายระบายน้ำดีโดยถ่ายด้วยเทคนิค pulse fluoroscopy 7.5 (ก) และ 15 (ข) ภาพต่อวินาที 

 

ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำ PTBD ด้วยเทคนิค pulse fluoroscopy

 

เทคนิค

15 fps

7.5 fps

kV

Mean (S.D.)

77.48 (3.36)

72.93 (2.62)

 

Min, Max (Range)

69.70, 86.50 (16.80)

66.50, 78.50 (12.00)

 

95% CI

76.61, 78.35

72.25, 73.60

mAs

Mean (S.D.)

13.77 (4.16)

8.63 (1.30)

 

Min, Max (Range)

8.00, 38.30 (30.30)

6.00, 13.70 (7.70)

 

95% CI

12.70, 14.85

8.30, 8.96

Air kerma (mGy)

Mean (S.D.)

270.99 (1364.25)

30.16 (57.18)

 

Min, Max (Range)

6.65, 10336.00(13329.35)

4.81, 444.00 (439.19)

 

95% CI

0.00, 623.41

15.39, 44.93

DAP (mGy/cm )

Mean (S.D.)

16458.99 (18006.40)

7901.05 (5440.03)

 

Min, Max (Range)

5.90, 98020(98014.10)

1603, 28771 (28168)

 

95% CI

11807.45, 21110.54

6495.74, 9306.36

Flu. time (min)

Mean (S.D.)

2.61 (2.14)

2.57 (2.07)

 

Min, Max (Range)

0.48, 10.20 (9.72)

0.41, 10.46 (10.05)

 

95% CI

2.05, 3.16

2.04, 3.11

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบปริมาณรังสีที่ผิวหนังผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี ในการทำ PTBD  

เทคนิค

ปริมาณรังสีเฉลี่ย (ESD/minute)

S.D.

ผลต่างของปริมาณรังสีเฉลี่ย

95%CI of Mean difference

p-value*

 

15 fps

1.82

0.91

0.873

0.618, 1.128

<0.01

7.5 fps

0.94

0.38

 

 

 

* Independent t-test

 

วิจารณ์

เป้าหมายหลักของการจัดการปริมาณรังสีในกระบวนการรังสีร่วมรักษาที่ทำการรักษาภายใต้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ เช่น การใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังภายใต้เครื่องฟลูออโรสโคปีย์ คือ การลดปริมาณรังสีที่ไม่จำเป็น   ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณรังสีมีทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความหนาของผู้ป่วย และที่ควบคุมได้ เช่น ระยะเวลาในการร่วมรักษา รูปแบบการฟลูออโรสโคปีย์ เป็นต้นจากการศึกษาของ Boix และคณะ10 และ Vetter และคณะ11 กล่าวว่าการใช้ฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นและการลดระยะเวลาในการฟลูออโรสโคปีย์ สามารถลดปริมาณรังสีให้ผู้ป่วยได้ นอกจากนั้น Hernandez และคณะ12 ได้ศึกษาและเปรียบเทียบปริมาณรังสีในผู้ป่วยเด็กที่ได้รับรังสีจากการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นกับแบบต่อเนื่อง (conventional fluoroscopy) พบว่าปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยเด็กได้รับจากการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นจะน้อยกว่าการฟลูออโรสโคปีย์แบบต่อเนื่องร้อยละ 50     จากผลการศึกษาของคณะผู้วิจัยครั้งนี้พบว่าปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับในขณะทำการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังภายใต้การฟลูออโรสโคปีย์ด้วยเทคนิค 7.5 ภาพต่อวินาที น้อยกว่า 15 ภาพต่อวินาที อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยที่คุณภาพของภาพฟลูออโรสโคปีย์ยังคงเป็นที่ยอมรับของรังสีแพทย์ การลดของปริมาณรังสีในการศึกษาครั้งนี้เนื่องมาจากช่วงระยะเวลาในการฟลูออโรสโคปีย์ในการตรวจลดลงจาการใช้อัตราที่น้อยกว่านั่นเอง นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังพบอีกว่าการใช้ฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่น  3.5 ภาพต่อวินาที  ได้รับปริมาณรังสีน้อยที่สุด  แต่เกิดภาพซ้อนอาจทำให้การใส่สาย PTBD ไม่แม่นยำ ดังนั้นคณะผู้วิจัยเสนอว่าการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังภายใต้ฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นด้วยเทคนิค 7.5 ภาพต่อวินาที เป็นเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด

 

สรุป

จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่าการฟลูออโรสโคปีย์แบบลูกคลื่นด้วยเทคนิค 7.5 ภาพต่อวินาที มีความเหมาะสมในการใส่สายระบายน้ำดีผ่านทางผิวหนังกับผู้ป่วยมากที่สุด เนื่องจากสามารถลดปริมาณรังสีให้กับผู้ป่วยได้ ในขณะที่คุณภาพของภาพฟลูออโรสโคปีย์ยังอยู่ในระดับที่รังสีแพทย์ยอมรับได้

 

กิตติกรรมประกาศ

     การศึกษาครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการพัฒนานักวิจัยใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2554  คณะผู้วิจัยขอขอบคุณภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่อำนวยความสะดวกให้การศึกษาเสร็จสมบูรณ์

เอกสารอ้างอิง

1. Sripa B, Pairojkul C. Cholangiocacinoma: lessons from Thailand. Curr Opin Gastroenterol 2008;24:349-56.

2. เอมอร ไม้เรียง.  การตรวจวินิจฉัยทางรังสี และ รังสีร่วมรักษาของโรคตับทางเดินท่อน้ำดีและตับอ่อน. พิมพ์ครั้งที่ 1.  ขอนแก่น :โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา,  2551.

3. Monar W, Stockum AE. Relief of obstructive jaundice through percutaneous transhepatic catheter: a new therapeutic method. AJR 1974;122:356-67.

4. เพชรากร หาญพานิชย์.  อุปกรณ์สร้างภาพทางรังสี.  พิมพ์ครั้งที่ 1.  ขอนแก่น :โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา,  2550.

5. สมศักดิ์ วงษ์ศานนท์, วิชัย วิชชาธรตระกูล, วัฒณา วงษ์ศานนท์. ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจรักษาทางรังสีร่วมรักษาระบบลำตัว. ศรีนครินทร์เวชสาร 2552; 24(4): 339-43.

6. Mettler FA Jr, Koenig TR, Wagner LK, Kelsey CA. Radiation injuries after fluoroscopic procedures. Semin. Ultrasound CT MR 2002;23:428–42.

7. Boland GW, Murphy B, Arellano R, Niklason L, Mueller PR. Dose reduction in gastrointestinal and genitourinary fluoroscopy: use of grid-controlled pulsed fluoroscopy. AJR Am J Roentgenol  2000;175:1453–7.

8.  The Society of International Radiology. Interventional fluoroscopy reducing radiation risks for patients and staff. NIH  Publication. 2005;05-5286:1-5.

9. Haskal ZJ. Interventional radiology carries occupational risk for cataracts. RSNA News 2004; 14: 5–6.

10. Boix J, Lorenzo-Zúñiga V. Radiation dose to patients during endoscopic retrograde
cholangiopancreatography. World J Gastrointest Endosc 2011;3:140–4.

11. Vetter S, Faulkner K, Strecker EP, Busch HP. Dose reduction and image quality in pulsed
 fluoroscopy. Radiat Prot Dosimetry 1998;80:299–301.

12. Hernandez RJ, Goodsitt MM. Reduction of radiation dose in pediatric patients using pulsed  fluoroscopy.  AJR Am J Roentgenol 1996;167:1247–53.

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

Fear Level in Preschoolers Undergoing Computed Tomography: Affect of Psychological Preparation by Story vs. Normal Preparation (การศึกษาเปรียบเทียบความกลัวการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของเด็กวัยก่อนเรียนระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเตรียมจิตใจด้วยการเล่านิทานกับกลุ่มที่ได้รับการเตรียมตามปกติ)
 
Risk Factors Associated With Allergic To Non – Ionic Contrast Media In Patients Undergoing Chest Or Abdominal Computed Tomography (ปัจจัยเสี่ยงต่อการแพ้สารทึบรังสีชนิดไม่แตกตัวในผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกและช่องท้อง)
 
Diagnostic Reliability of the Singh Index : Femoral Neck Osteoporosis (ความน่าเชื่อถือของ Sign index ในการวินิจฉัยโรคกระดูกำพรุนของคอกระดูกต้นขา)
 
Clinical Manifestations and Angiographic Ceatures in Carotid – Cavernous sinus Fistula (ลักษณะทางคลินิกและลักษณะทางรังสีวิทยาในผู้ป่วย Carotid – Cavernous sinus Fistula)
 
<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

Radiology
 
 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0