Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Evaluation of Pharmaceutical Care in Sexually Transmitted Infection Patients in Chusak Pharmacy, Muang District, Maha Sarakham Province

ผลการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ณ ร้านยาเภสัชกร ชูศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม

Krongkwan Daungpawung (ครองขวัญ ดวงพาวัง) 1, Peeraya Somsaard (พีรยา สมสะอาด) 2, Pornchanok Srimongkon (พรชนก ศรีมงคล) 3, Kasama Chokkatiwat (กษมา โชคติวัฒน์) 4




หลักการและวัตถุประสงค์ : ปัจจุบันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นทั่วโลก ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อยามารับประทานเอง  ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้  คือ ประเมินผลของการบริบาลเภสัชกรรมในด้านผลการรักษา อาการไม่พึงประสงค์  อัตราการกลับเป็นซ้ำ  ความรู้และความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการในร้านยา

วิธีการศึกษา: รูปแบบการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้า ในผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการในร้านยาเอกชน (เภสัชกรชูศักดิ์) จังหวัดมหาสารคาม โดยผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาจะได้รับการบริบาลเภสัชกรรม ประกอบด้วย การรักษาด้วยยาและให้ความรู้พร้อมแผ่นพับโดยนิสิตเภสัชศาสตร์ และทำการติดตาม 7 เดือน หลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรม และผู้ป่วยจะได้รับการประเมินความรู้จากการให้บริบาลทางเภสัชกรรม

ผลการศึกษา : จากจำนวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 33 ราย มีอาการเข้าได้กับโรคเชื้อราในช่องคลอด 15 ราย พยาธิในช่องคลอด 12 ราย หนองในเทียม 4 ราย และเริมที่อวัยวะเพศ 2 ราย พบว่าผู้ป่วย 29 ราย (ร้อยละ 87.9)  ให้ความร่วมมือในการใช้ยาจนครบขนาดการรักษา พบผู้ป่วย 11 ราย (ร้อยละ 33.3) ที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ โดยอาการที่พบมากที่สุดคือ อาการขมปากจากการใช้ยา metronidazole  ร้อยละ 83.3 (8 จาก 10 ราย)  หลังติดตามการรักษาพบว่าผู้ป่วย 29 ราย (ร้อยละ 87.9) หายจากโรค เมื่อทำการติดตาม 7 เดือนหลังการรักษาพบการกลับเป็นซ้ำของโรคร้อยละ 14.8  จากการทดสอบความรู้หลังให้การบริบาลทางเภสัชกรรมพบว่าผู้ป่วยมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจากก่อนให้บริบาลเภสัชกรรมอย่างมีนัยสำคัญ (p <0.001)  ส่วนผลคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยข้อละ 4.4 ± 0.6 คะแนน

สรุป :  การให้การบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยามีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้ยาและการปฏิบัติตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงมีความความพึงพอใจในการบริบาลเภสัชกรรมที่ร้านยา

 

Background and Objective: At present, incidence of sexually transmitted infection (STI) was increased all over the world. In Thailand, STI patients often purchase medicine from drug store by their own judgement. This study was aimed to evaluate the pharmaceutical care provided for STI patients on cure rate, patients’s knowledge and satisfactions of pharmaceutical care.

Methods : This study was descriptive study. Data was collected at a private pharmacy (Chusak pharmacy), Muang District, Maha Sarakham Province, Thailand. Patients received pharmaceutical care from pharmacy student consisting of drug therapy and knowledge about sexual transmitted infection with pamphlet which were tested after pharmaceutical care, then followed up for 7 months.

 Results : Thirty-three patients were enrolled in this study, consist of 15 cases of vaginal candidiasis (45.5%), 12 cases of vaginal trichomoniasis (36.4%), 4 cases of non specific urethritis (12.1%) and 2 cases of genital herpes (6.1%). Twenty-seven cases (85.3%) were cured and followed up until the end of the study. Knowledge scores were significantly increased from baseline after receiving pharmaceutical care (p <0.001).  There were 4 recurrent patients (14.8%), the most recurrence rate was found in patients with vaginal candidiasis (16.7%).  Adverse drug reactions were found in 11 patients (33.3%). The most adverse drug reactions were metallic taste from metronidazole (8 in 10 cases).  The average satisfaction scores after receiving pharmaceutical care was 4.4+0.6 points

 Conclusion: The study showed that providing pharmaceutical care for sexually transmitted infection patients in community pharmacy would help to increase knowledge about the sexually transmitted diseases and satisfaction of pharmaceutical care.

Keywords: pharmaceutical care, sexually transmitted infection

 

บทนำ

            ปัจจุบันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นทั่วโลก  และยังพบว่าสัดส่วนผู้ป่วยในกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี และอายุ 40 ปี ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยกามโรคชาย พบว่า ในปี พ.ศ. 2540 มีผู้ป่วยกามโรคชายอายุต่ำกว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 7.5 ของผู้ป่วยกามโรคชาย และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 19.9 ในปี พ.ศ. 2549 และในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป พบผู้ป่วยกามโรคชายร้อยละ 14.5 ในปี พ.ศ. 2540 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.6 ในปี พ.ศ. 25491,2 นอกจากนั้นปัญหาการดื้อยาของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคติดต่อมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้นและใช้เวลารักษานานขึ้น ทำให้โรคติดต่อที่เคยควบคุมได้กลับมาระบาดมากขึ้น โดยสาเหตุสำคัญที่เชื้อเกิดการดื้อยาเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกต้องหรือใช้เกินความจำเป็น  ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอาการของโรคไม่รุนแรง  มักจะยังไม่มาพบแพทย์  แต่นิยมซื้อหายามารับประทานเอง  โดยพบว่าผู้ป่วยหนองในซื้อยารักษาตนเองก่อนไปพบแพทย์ถึงร้อยละ 49.353 ซึ่งพบเชื้อหนองในที่ดื้อต่อยากลุ่ม quinolones ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งในประเทศไทย4 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการจัดทำคู่มือการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับบุคลากรในร้านยา พ.ศ. 2549 โดยกรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข  เพื่อเป็นแนวทางการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยา5 ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนให้เภสัชกรในร้านยาผู้ซึ่งมีโอกาสได้ให้การรักษาผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีแนวทางในการรักษาเป็นมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้  คือ การศึกษาผลการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยา ได้แก่ การหายจากโรค  อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา   อัตราการกลับเป็นซ้ำ  คะแนนความรู้ และความพึงพอใจสำหรับผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยา  เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้พัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยา

 

วิธีการศึกษา

             การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบ prospective study ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมการศึกษาวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยศึกษาผลของการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการในร้านยาเอกชน (เภสัชกรชูศักดิ์)  จังหวัดมหาสารคามระหว่างวันที่ 10  ธันวาคม 2552 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2553 เกณฑ์การคัดผู้ป่วยเข้า คือผู้ป่วยที่มารับบริการที่ร้านยา  และมีอาการเข้าได้กับโรคหนองในแท้  โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน  โรคเริมที่อวัยวะเพศ  โรคหูดหงอนไก่  โรคฝีที่ขาหนีบ โรคหิด  โรคโลน  โรคฝีที่ขาหนีบ  โรคเชื้อราในช่องคลอด  โรคพยาธิในช่องคลอด   ที่ได้จากการซักประวัติและอาการแล้ววิเคราะห์โรคตามคู่มือการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับบุคลากรในร้านยา พ.ศ. 2549 โดยกรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข และยินยอมเข้าร่วมการศึกษา ส่วนผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้รู้เรื่องเนื่องจากปัญหาการได้ยิน  สับสน  หรือมีโรคทางจิต  เช่น จิตเภท  ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง  เช่น  มีอาการปวดรุนแรง มีความผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศอย่างรุนแรง  แล้วถูกส่งต่อไปพบแพทย์ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถติดตามผลการรักษาได้เลย และผู้ป่วยที่ขอยกเลิกการเข้าร่วมการศึกษา จะถูกคัดออกจากการศึกษาและไม่นำมาวิเคราะห์ผล โดยจะทำการประเมนความรู้ของผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาก่อนให้การบริบาลทางเภสัชกรรม  แล้วให้การบริบาลทางเภสัชกรรม ในการศึกษานี้ได้แก่ การซักประวัติการเจ็บป่วยโดยนิสิตเภสัชศาสตร์ภายใต้การดูแลของเภสัชกรประจำร้านยา หลังจากนั้นทำการจ่ายยาตามคู่มือการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับบุคลากรในร้านยา พ.ศ. 2549 โดยกรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข การให้ความรู้เรื่องโรค  ยา  และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย  โดยการพูดคุยและให้แผ่นพับให้ความรู้ประกอบความเข้าใจ    รวมถึงการค้นหาและติดตามปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา โดยนิสิตเภสัชศาสตร์  แล้วนัดติดตามผลการรักษา  ความร่วมมือในการใช้ยา, อาการข้างเคียงจากยา โดยนัดผู้ป่วยมาติดตามที่ร้านยาหรือติดตามทางโทรศัพท์  ตามความสมัครใจของผู้ป่วย ตามระยะเวลาที่กำหนดในหลักเกณฑ์การติดตามผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ภายหลังการรักษา ของมาตรฐานการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พ.ศ.25466 และทำการติดตามการกลับเป็นซ้ำในระยะเวลา 3-7 เดือนหลังการรักษา  นอกจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการประเมินความรู้หลังการให้บริบาลเภสัชกรรมที่ร้านยาครั้งที่ 1 ตามแบบประเมินความรู้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับการทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการให้การบริบาลเภสัชกรรมโดยการใช้แบบสอบถาม และหลังจากทำการติดตามการกลับเป็นซ้ำ ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินความรู้หลังการให้บริบาลเภสัชกรรมซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เพื่อติดตามความรู้ของผู้ป่วยในระยะยาว การวิเคราะห์ผลทางสถิติ ใช้โปรแกรม SPSS โดยใช้ McNemar test  ในการเปรียบเทียบคะแนนความรู้รายข้อเกี่ยวกับเรื่องโรค  ยา  และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยก่อนและหลังการได้รับการบริบาลเภสัชกรรม  และเปรียบเทียบคะแนนรวมความรู้ในผู้ป่วยแต่ละครั้ง  โดยใช้สถิติ paired t-test สำหรับข้อมูลที่มีการกระจายแบบปกติ (normal distribution) และใช้ Wilcoxon test สำหรับข้อมูลที่มีการกระจายแบบไม่ปกติ  กำหนดให้  p < 0.05 มีนัยสำคัญทางสถิติ

 

ผลการศึกษา

จากการดำเนินการศึกษามีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การศึกษาทั้งหมด 34  ราย ซึ่งผู้ป่วยทุกคนเป็นผู้ป่วยที่มาขอรับบริการที่ร้านยาเภสัชกรชูศักดิ์และมีอาการเข้าได้กับการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์  แต่ผู้ป่วย 1 คนมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดอย่างรุนแรงไม่สามารถให้การรักษาในร้านยาได้จึงถูกส่งต่อไปรับการรักษาที่บ้านร่มเย็น โรงพยาบาลมหาสารคาม  และได้คัดออกจากการศึกษา ดังนั้นเหลือผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาและทำการติดตามทั้งหมด 33 ราย เป็นเพศหญิง 29 ราย (ร้อยละ 87.7)  ร้อยละ 30.3 อยู่ในช่วงอายุ 31-35 ปี อายุเฉลี่ย 35.85+8.87 ปี  ด้านการประกอบอาชีพส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  26 ราย (ร้อยละ 78.8)   ผู้ป่วยที่มารับบริการทั้งหมด 33 ราย (ร้อยละ 100)  มีคู่นอน  โดยผู้ป่วย 4 ราย (ร้อยละ 12.1)  มีประวัติการเปลี่ยนคู่นอนและไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่นอนที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยา โดยเปลี่ยนคู่นอนก่อนมีอาการแสดงของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนมีอาการแสดงของโรคที่พบมากที่สุดคือมากกว่า 90 วัน จำนวน 11 ราย  ( ร้อยละ 33.3) และมีผู้ป่วยมีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา  24 ราย (ร้อยละ 72.7) 

 

 

            จากการติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ทั้ง 33 ราย ตามแบบแผนการติดตามที่ประยุกต์จากมาตรฐานการติดตามการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พ.ศ.2546 ในผู้ป่วยโรคเชื้อราในช่องคลอดทั้งหมด 15 ราย  พบว่าในการติดตามผลการรักษาครั้งที่ 1 (ที่ 7 วัน) มีผู้ป่วยที่รักษาหายโดยไม่มีอาการแสดงของโรคเหลืออยู่ 13 ราย (ร้อยละ 86.7) ผู้ป่วยโรคพยาธิในช่องคลอดทั้งหมด 12 ราย  พบว่ามีผู้ป่วยที่รักษาหายโดยไม่มีอาการแสดงของโรคเหลืออยู่ 10 ราย (ร้อยละ 83.3) ผู้ป่วยโรคหนองในเทียมทั้งหมด 4 รายไม่มีอาการแสดงของโรคเหลืออยู่หลังจากติดตามการรักษาทั้งครั้งที่ 1 ส่วนผู้ป่วยเริมที่อวัยวะเพศทั้งหมด 2 ราย ไม่มีอาการแสดงของโรคเหลืออยู่หลังจากติดตามการรักษาทั้ง 3 ครั้ง (ตารางที่ 1)

 

ตารางที่ 1 ผลการติดตามการรักษา

โรค

ผลการติดตามการรักษา

จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหาย (ร้อยละ)

ครั้งที่ 1 a

ครั้งที่ 2 b

ครั้งที่ 3

ติดตามเดือนที่ 3 c

ติดตามเดือนที่ 7 d

เชื้อราช่องคลอด (n=15)

13 (86.7)

12 (80.0)

ไม่ต้องติดตาม

ตามคู่มือ

2

พยาธิช่องคลอด (n=12)

10 (83.3)

10 (83.3)

1

หนองในเทียม (n=4)

4 (100.0)

4 (100.0)

3 (75.0)

1

เริม (n=2)

2 (100.0)

2 (100.0)

2 (100.0)

-

รวม  (n=33)

33 (100.0)

28 (84.8)

5 (83.3)*

4 (100.0)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        หมายเหตุ  * หมายถึง คิดร้อยละจาก n = 6 จากผู้ป่วยหนองใน 4 ราย และเริม 2 ราย

                       a  หมายถึง  ติดตามวันที่ 14 สำหรับโรคหนองในเทียม, ติดตามวันที่ 7 สำหรับโรคเชื้อราใน

                                    ช่องคลอด, พยาธิในช่องคลอด, เริมที่อวัยวะเพศ

                       b หมายถึง  ติดตามเดือนที่ 1 สำหรับทุกโรค

                       c หมายถึง  ติดตามเดือนที่ 3 สำหรับโรคหนองในเทียม และเริมที่อวัยวะเพศ 

                       d หมายถึง  ติดตามผลการรักษาย้อนหลังในเดือนที่ 7 ในผู้ป่วยที่ติดตามครั้งที่ 2 หรือ 3 ไม่ได้

 

              จากการติดตามความร่วมมือในการใช้ยาโดยการสอบถามทางโทรศัพท์พร้อมกับการรักษาครั้งที่ 1พบว่าผู้ป่วยในโรคหนองในเทียม 3 ราย (ร้อยละ 75) รับประทานยาติดต่อกันจนครบระยะเวลาการรักษา  มีผู้ป่วย 1 ราย (ร้อยละ 25) ที่ได้รับยา Cefixime  400 มก. เพียงครั้งเดียว ร่วมกับ Doxycycline  100 มก.  กินวันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน  แต่รับประทานยาไปเพียง 10 วัน  ซึ่งไม่ครบระยะเวลาการรักษา  และมีผู้ป่วยโรคเชื้อราในช่องคลอด 1 ราย  ที่ได้รับยา Clotrimazole 200 มก. สอดช่องคลอดติดต่อกัน 3 วัน  แต่สอดยาไปได้เพียง 2 วัน เนื่องจากวันที่สามมีประจำเดือน  จึงไม่สอดยา ส่วนในผู้ป่วยโรคพยาธิในช่องคลอดและโรคเริมมีความร่วมมือในการใช้ยาร้อยละ 100 

              ผลการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยการสอบถามพบว่า ผู้ป่วย 11 ราย  (ร้อยละ 33.3) เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยพบว่าอาการที่พบมากที่สุดคือ อาการขมปากของผู้ป่วยโรคพยาธิในช่องคลอดที่ได้รับ Metronidazole ร้อยละ 83.3 (8 จาก 10 ราย)  ผู้ป่วยโรคหนองในเทียมที่ได้พิจารณาให้ได้รับยา  Cefixime  ร่วมกับ Azithromycin  มีอาการคลื่นไส้ 1 จาก 2 ราย  เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่พิจารณาให้ได้รับยา  Cefixime  ร่วมกับ Doxycycline  ที่มีอาการคลื่นไส้ 1 จาก 2 ราย และพบผู้ป่วยโรคเชื้อราในช่องคลอดที่ได้รับยา Itraconazole  1 จาก 5 ราย  มีอาการคลื่นไส้หลังได้รับยา

 จากการติดตามการกลับเป็นซ้ำของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ทั้ง 33 ราย ที่ 3-7 เดือน หลังให้บริบาลเภสัชกรรมครั้งแรก สามารถติดตามผู้ป่วยได้ทั้งหมด 31 ราย (ร้อยละ 93.9) พบว่า มีอัตราการกลับเป็นซ้ำของเริมที่อวัยวะเพศ 1 ใน 2 ราย  อัตราการกลับเป็นซ้ำของโรคเชื้อราในช่องคลอด 2 ใน 14 ราย  มีอัตราการกลับเป็นซ้ำของพยาธิในช่องคลอด  1 ใน 11 ราย ส่วนผู้ป่วยโรคหนองในเทียมทั้ง 4 ราย ไม่พบการกลับเป็นซ้ำของโรค (ตารางที่ 2)

 

ตารางที่ 2 ผลการติดตามการกลับเป็นโรคติดเชื้อเพศสัมพันธ์ซ้ำ

ข้อมูล

จำนวนผู้ป่วยที่กลับเป็นซ้ำ

หนองในเทียม (N=4)

0

เชื้อราช่องคลอด (N=14)*

2

พยาธิช่องคลอด (N=11)*

1

เริม (N=2)

1

รวม (n=31)

4

     * หมายถึง loss follow up 1 ราย

 

ตารางที่ 3 ผลการทดสอบความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และการรักษา (n=33)

คำถาม

จำนวนผู้ป่วยที่ตอบถูก (ร้อยละ)

ก่อน

หลังครั้งที่ 1

(p-value)a

หลังครั้งที่ 2*

(p-value)b

(p-value) c

ความรู้ทั่วไปเรื่องโรคและการใช้ยา  Mean + SD (คะแนนเต็ม 10)

6.24 +2.28

8.45

+0.83

<0.001

6.24 +2.28

<0.001

<0.001

ความรู้เรื่องโรคและการติดต่อของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

1.       การเปลี่ยนคู่นอนหรือมีคู่นอนหลายคนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์

33

(100)

33

(100)

-

 

30

(100)

-

-

2.       การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการรับเชื้อและแพร่เชื้อเอชไอวีจากคู่นอนที่มีเชื้อเอชไอวีได้

31

(93.9)

33

(100)

0.500

 

28 (93.3)

0.500

 

-

3.       การหลั่งภายนอก,ปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ  หรือล้างอวัยเพศด้วยโซดาหลังร่วมเพศ สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้

14

(42.4)

 

33

(100)

<0.001

 

26 (86.7)

<0.001

0.063

ความรู้เรื่องการใช้ยาและการปฏิบัติตัวขณะรักษา

4.       การรักษาโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์  หากผู้ป่วยรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว  สามารถหยุดยาได้เลย โดยไม่ต้องรับประทานยาต่อจนหมด

26 (78.8)

 

33

(100)

0.016

 

30

(100)

0.016

-

5.       การรักษาคู่นอนด้วย  สามารถลดการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ซ้ำ

26 (78.8)

33 (100)

0.016

29 (96.7)

0.016

1.000

6.       ควรงดร่วมเพศระหว่างทำการรักษา  แต่หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง

16 (48.5)

33 (100)

<0.001

28 (93.3)

0.031

0.500

7.       ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างรักษาด้วยยา

14 (42.4)

33 (100)

<0.001

29 (96.7)

<0.001

<0.001

8.       เมื่อมีแผลเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศและมีหนองร่วมด้วย  ควรบีบหนองออกให้หมดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

12 (36.4)

33 (100)

<0.001

30 (100)

<0.001

0.063

9.       เมื่อมีแผลเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะควรไปซื้อชุดล้างแผลมาทำความสะอาดด้วยตนเอง

17 (51.5)

33 (100)

<0.001

30 (100)

<0.001

0.250

10.   สามารถหาซื้อยาแก้อักเสบ  หรือยาล้างท่อปัสสาวะมารับประทานเพื่อป้องกันการเกิดกามโรคได้

14 (42.4)

33 (100)

<0.001

30 (100)

<0.001

0.250

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      

หมายเหตุ: เปรียบเทียบคะแนนรวมด้วย Wilcoxon test และเปรียบเทียบจำนวนผู้ตอบถูกรายข้อด้วย McNemar test       

              a หมายถึงเปรียบเทียบระหว่างก่อนให้บริบาลเภสัชกรรมกับหลังให้บริบาลเภสัชกรรม ครั้งที่ 1           

              b หมายถึงเปรียบเทียบระหว่างก่อนให้บริบาลเภสัชกรรมกับหลังให้บริบาลเภสัชกรรม ครั้งที่ 2           

              c หมายถึงเปรียบเทียบระหว่างหลังให้บริบาลเภสัชกรรม ครั้งที่ 1 และ 2          

              * หมายถึง n=30,            

             - หมายถึง ข้อมูลไม่สามารถหาความแตกต่างกันทางสถิติได้

 

ตารางที่ 4 ความพึงพอใจหลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรม (n=33)

คำถาม

จำนวนผู้ที่ตอบ (ร้อยละ)

มากที่สุด

มาก

ปานกลาง

น้อย

น้อยที่สุด

คะแนนเฉลี่ย+SD

ความสะดวกรวดเร็ว

1.       ระยะเวลาที่ให้การรักษาและคำแนะนำปรึกษา

3

(9.1)

23 (69.7)

7 (21.2)

0 (0.0)

0 (0.0)

3.9+0.6

2.       จำนวนเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ

9

(27.3)

24 (72.7)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.3+0.5

การบริการโดยเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ

3.       การให้คำอธิบายผลการรักษาและคำแนะนำ

6

(18.2)

27 (63.6)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.2+0.4

4.       ท่าทางของเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ

3

(9.4)

30 (90.9)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.1+0.5

5.       ความเป็นกันเองของเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ

12

(36.4)

21 (63.6)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.4+0.5

6.       ระบบการนัดติดตามหรือส่งต่อไปพบแพทย์

4 (12.1)

26 (78.8)

3

(9.1)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.0+0.5

อุปกรณ์/สถานที่ให้บริการ

7.       จุดแนะนำปรึกษาที่ทางร้านจัดไว้ให้บริการ

15 (45.4)

17 (51.5)

1

(3.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.4+0.6

8.       ความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ให้บริการ

9 (27.3)

24 (72.7)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.3+0.5

9.       สื่อ / เอกสารความรู้ที่ได้รับ

12 (36.4)

21 (63.6)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.4+0.5

10.   การรักษาและให้คำแนะนำปรึกษาที่ได้รับครั้งนี้

14 (42.4)

19 (57.6)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.4+0.5

11.   ท่านพึงพอใจที่จะมาติดตามผลการรักษาที่ร้านยาอีกในครั้งถัดไป

9 (27.3)

24 (72.7)

0

(0.0)

0 (0.0)

0 (0.0)

4.3+0.5

รวม  (คะแนนเต็ม 55 คะแนน)

 

46.6+4.3

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    ผลการทดสอบความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการรักษา โดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วยคำถามเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปเรื่องโรค ยา และการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จำนวน 10 ข้อ  โดยการให้บริบาลทางเภสัชกรรม แล้วมีการทดสอบความรู้ทั้งหมด 3 ครั้ง คือ ก่อนให้การบริบาลทางเภสัชกรรม (ก่อน)  หลังให้การบริบาลทางเภสัชกรรม (ครั้งที่ 1)  และหลังจากให้การบริบาลทางเภสัชกรรมไปแล้วนาน  1 เดือน (ครั้งที่ 2)   พบว่าคะแนนรวมความรู้ทั่วไปหลังการให้บริบาลทางเภสัชกรรมครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นจากก่อนการให้บริบาลเภสัชกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) และเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจำนวนผู้ตอบถูกในแต่ละข้อ พบว่าจำนวนผู้ตอบถูกหลังการให้บริบาลทางเภสัชกรรมครั้งที่ 1 และ 2 เปรียบเทียบกับก่อนได้รับการบริบาลเภสัชกรรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกข้อคำถาม (p <0.05)   ยกเว้นคำถามข้อที่ 2 คือ  การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการรับเชื้อและแพร่เชื้อเอชไอวีจากคู่นอนได้  ส่วนคำถามข้อ 1 มีผู้ตอบถูกหมดในการทำแบบทดสอบทั้ง 3 ครั้ง จึงไม่สามารถหาความแตกต่างได้ การเปรียบเทียบจำนวนผู้ตอบถูกหลังการให้บริบาลเภสัชกรรมครั้งที่ 1 กับ 2  พบว่าไม่มีความแตกต่างกันในทุกข้อ (p >0.05) ยกเว้นในคำถามข้อ 7 (p <0.001) ส่วนคำถามข้อ 1, 2, 4  มีผู้ตอบถูกหมดทั้ง 2 ครั้ง จึงไม่สามารถหาความแตกต่างได้ (ตารางที่ 3)

           ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาทั้ง 33 ราย  ได้ทำการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจหลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรมในร้านยา  โดยแบบสอบถามมีทั้งหมด 11 ข้อ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน  ได้แก่  ความสะดวกรวดเร็ว การบริการโดยเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ  อุปกรณ์/สถานที่ให้บริการ และการบริการในภาพรวม  โดยข้อที่มีคนตอบว่าพึงพอใจมากที่สุดคือ จุดแนะนำปรึกษาที่ทางร้านจัดไว้ให้บริการ 15 ราย (ร้อยละ 45.4)  คำถามที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ ความพอใจในจุดแนะนำปรึกษาที่ทางร้านจัดไว้ให้บริการ ความพึงพอใจในการรักษาและให้คำแนะนำปรึกษาที่ได้รับครั้งนี้  ความเป็นกันเองของเภสัชกร/นิสิตเภสัชศาสตร์ที่ให้บริการ และสื่อ/เอกสารความรู้ที่ได้รับ โดยมีคะแนนเฉลี่ยข้อละ 4.4+0.6  คะแนน  ส่วนข้อที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือ ระยะเวลาที่ให้การรักษาและคำแนะนำปรึกษาโดยมีคะแนนเฉลี่ยข้อละ 3.9+0.6 คะแนน (ตารางที่ 4)

 

วิจารณ์

            จากการศึกษาพบว่าผู้มีอาการเข้าได้กับโรคติดเชื้อในช่องคลอดมีจำนวนมากที่สุด 15 ราย (ร้อยละ 45.5) ซึ่งสาเหตุการเกิดโรคอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ นอกจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงทำให้ระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนมีอาการแสดงของโรคที่พบมากที่สุดคือมากกว่า 90 วัน และจากผลการให้บริบาลเภสัชกรรมต่อจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายจากการติดตามในวันที่ 7 หรือ 14 หลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรม  คิดเป็นร้อยละ 87.9  ซึ่งใกล้เคียงกับการศึกษาก่อนหน้านี้ ที่พบว่าผลการให้บริบาลเภสัชกรรมต่อจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายจากการติดตามในวันที่ 7 หลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรม  คิดเป็นร้อยละ 80.07 อย่างไรก็ตามการศึกษาดังกล่าวมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าการศึกษาในครั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการรักษาหายของผู้ป่วยในแต่ละโรคพบว่าผู้ป่วยโรคหนองในเทียมและโรคเริมที่อวัยวะเพศ มีอัตราการหายสูงสุดร้อยละ 100 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากอาการของผู้ป่วยสามารถแยกโรคได้ชัดเจนจากการซักประวัติในร้านยา  อีกทั้งผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะเพศทั้ง 2 ราย  เคยมีอาการแสดงของโรคและเคยได้รับการรักษาด้วยยามาก่อน  ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อในช่องคลอด การพิจารณาแยกโรคพยาธิในช่องคลอดและเชื้อราในช่องคลอดที่มีอาการใกล้เคียงกันต้องพิจารณาแยกโรคโดยคำบอกเล่าอาการจากผู้ป่วย ทำให้มีโอกาสจ่ายยาไม่ตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงทำให้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อราในช่องคลอดมีอัตราการรักษาหายร้อยละ 86.7  ส่วนผู้ป่วยโรคพยาธิในช่องคลอดมีอัตราการรักษาหายร้อยละ 83.3 ส่วนการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้ป่วยโรคติดเชื้อในช่องคลอดมีอัตราการหาย ร้อยละ 71.6 7 ในการศึกษาครั้งนี้พบว่าผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับโรคเชื้อราในช่องคลอด 3 ราย ยังมีอาการอยู่หลังทำการติดตามผลการรักษา โดย 1 ราย อาจเกิดจากการไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยาเนื่องจากใช้ยาสอดไม่ครบตามระยะเวลาการรักษา  ส่วนผู้ป่วยอีก 2 ราย มีความร่วมมือในการใช้ยาดี  แต่การรักษาที่ไม่หาย โดยผู้ป่วยที่รักษาไม่หายจะแนะนำให้ไปรับการตรวจวินิจฉัยโรคและทำการรักษาที่บ้านร่มเย็น  โรงพยาบาลมหาสารคาม  แต่จากการติดตามไม่พบว่ามีผู้ป่วยรายใดไป

ทำการรักษาตามคำแนะนำ  มีผู้ป่วย 1 รายที่มารับการรักษาที่ร้านยาอีกครั้ง  แต่ไม่สามารถติดตามผลการรักษาได้

        จากผลการทดสอบความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วยหลังการบริบาลเภสัชกรรมครั้งที่ 1 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจมาจากการที่ผู้ป่วยได้รับความรู้ คำแนะนำจากนิสิตเภสัชศาสตร์ รวมทั้งเอกสารให้ความรู้เกี่ยวกับโรค อาการและการรักษาโรคที่ผู้ป่วยเป็น แต่หลังจากติดตามความรู้ในขณะที่ทำการติดตามการกลับเป็นซ้ำที่ 3-7 เดือนหลังให้การบริบาลเภสัชกรรม พบว่าคะแนนความรู้ครั้งที่ 2 ลดลงจากการประเมินความรู้ครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญ (p <0.001) ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้ป่วยไม่ได้ทบทวนความรู้หรือลืมข้อมูลที่ได้รับตอนให้การบริบาลทางเภสัชกรรม

         ด้านความพึงพอใจหลังได้รับการบริบาลเภสัชกรรมพบว่า คะแนนรวมเฉลี่ย 46.57+4.25  (คะแนนเต็ม 55 คะแนน) โดยคำถามที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ ความพอใจในจุดแนะนำปรึกษาที่ทางร้านจัดไว้ให้บริการ โดยข้อคำถามนี้มีคะแนนเฉลี่ย 4.42+0.56  คะแนน (คะแนนเต็มข้อละ 5 คะแนน)  ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้มารับบริการในโปรแกรมเอดส์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศบราซิลโดย ของ Azeredo และคณะ พบว่า ผู้ป่วยมีความพึงพอใจเกี่ยวกับจุดสำหรับนั่งรอการให้บริการค่อนข้างน้อยโดยมีคะแนนเฉลี่ย  0.21 คะแนน (คะแนนเต็ม 1 คะแนน)8  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ร้านยาที่ใช้ในการเก็บข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้มีการเตรียมสถานที่ให้บริการอย่างดี โดยมีการแยกเป็นส่วนที่ให้บริการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยโดยเฉพาะ  แตกต่างจากการให้บริการในโรงพยาบาลซึ่งมีข้อจำกัดด้านสถานที่ ส่วนข้อคำถามที่ได้คะแนนมากอีกหนึ่งข้อคือ ความพึงพอใจในการรักษาและการให้คำแนะนำปรึกษา มีคะแนนเฉลี่ย 4.42+0.56  คะแนน  เช่นเดียวกับการศึกษาของ Azeredo และคณะ ที่พบว่าผู้ป่วยเอดส์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  มีความพึงพอใจในความเป็นกันเองและความใส่ใจในการให้บริการของผู้จ่ายยามากที่สุด 0.73 คะแนน (คะแนนเต็ม 1 คะแนน) ส่วนข้อที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือ ระยะเวลาที่ให้การรักษาและให้คำแนะนำปรึกษา โดยมีคะแนนเฉลี่ยข้อละ 3.88+0.55 คะแนน  ซึ่งแตกต่างจากผลการศึกษาของ Azeredo และคณะ ที่คะแนนความพึงพอใจในด้านเวลาในการให้บริการอยู่ในระดับปานกลาง 0.52 คะแนน (คะแนนเต็ม 1 คะแนน) เมื่อเทียบกับความพอใจในด้านอื่นๆ 8

           ผลการติดตามกลับเป็นซ้ำของโรคในเดือนที่ 3-7 หลังการให้บริบาลเภสัชกรรม พบว่ามีผู้ป่วยกลับเป็นซ้ำ 4 ราย (ร้อยละ 14.8) เป็นโรคเชื้อราในช่องคลอด 2 รายจาก 15 ราย พยาธิในช่องคลอด  1 รายจาก 12 ราย และเริม 1 รายจาก 2 รายแต่ไม่พบการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยโรคหนองในเทียม  สอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ของ  Thurman และคณะในปี ค.ศ. 2008 ที่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยโรคหนองในแท้และหนองในเทียมใน รัฐเทกซัส  ประเทศสหรัฐอเมริกา การศึกษาเป็นแบบ RCT  โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มที่ได้รับความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ (Sexual Awareness For Everyone หรือ SAFE) และกลุ่มที่ไม่ได้รับความรู้ ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคหนองในวัยผู้ใหญ่ในกลุ่มที่ไม่ได้รับความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ จะมีการกลับเป็นซ้ำของโรคร้อยละ 14.4  ภายในระยะเวลา 0-6 เดือน ซึ่งมากกว่ากลุ่มที่ได้รับความรู้ (p= 0.04) 9

การศึกษานี้มีข้อจำกัดได้แก่ จำนวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาน้อย และการติดตามผลทางโทรศัพท์  ซึ่งอาจทำให้ได้ข้อมูลจากผู้ป่วยที่คลาดเคลื่อนไป อย่างไรก็ตามผลการศึกษานี้อาจเพิ่มความตระหนักถึงความสำคัญของการบริบาลเภสัชกรรมแก่ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในร้านยา และสามารถนำ ไปใช้เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ให้บริการในร้านยา เพื่อลดปัญหาการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมถึงปัญหาโรคเอดส์ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ทำให้ลดจำนวนผู้ป่วยและลดรายจ่ายที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้

สรุป

จากการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการให้บริบาลเภสัชกรรมแก่ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการในร้านยาสามารถเพิ่มความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา และการปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการรับหรือแพร่เชื้อ  รวมถึงอาจมีส่วนช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค  และเพิ่มความพึงพอใจในการให้บริการในร้านยา

 

กิตติกรรมประกาศ

ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ภญ.กษมา โชคติวัฒน์  ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการเก็บข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือ และให้คำปรึกษาตลอดการทำงานวิจัย และขอขอบพระคุณ คุณเกศมุกดา  จันทร์ศิริ สำหรับความรู้และคำปรึกษาด้านการทำงานเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์  เพื่อนำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้

เอกสารอ้างอิง

1.กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์  วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. รายงานสถานการโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์.  กรุงเทพ: สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2545.

2.สุภรต์ จรัสสิทธิ์. สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอดส์ของประชากรไทย ในช่วงทศวรรษ 2540 (.. 2540-2549). ใน: กฤตยา อาชวนิจกุล, กาญจนา ตั้งชลทิพย์, บรรณาธิการ. ประชากรและสังคม: มิติ “เพศ” ในประชากรและสังคม. กรุงเทพ: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, 2551: 198-209.

3.มาลี โรจน์พิบูลสถิต. การจ่ายยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในร้านขายยา ในเขตจังหวัดสงขลา. [วิทยานิพนธ์เภสัชศาสตร์มหาบัณฑิต] บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2541.

4.Bowie WR. Antibiotics and sexually transmitted diseases. Infect Dis Clin North Am 1994;8:841-57.

5.คณะกรรมการโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรร้านขายยา  ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการ

บริการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  ในกรุงเทพมหานคร. คู่มือการดูแลรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับบุคลากรในร้านยา พ.ศ. 2549. กรุงเทพ: สำนักโรคเอดส์  วัณโรค  และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2549.

6.กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์  วัณโรค  และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์.

มาตรฐานการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พ.ศ.2546. กรุงเทพ: สำนักโรคเอดส์  วัณโรค  และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2546.

7.อดิศักดิ์  ถมอุดทา, เกศมุกดา จันทร์ศิริ. รายงานบทบาทเภสัชกรร้านยาในการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรณีร้านขายยาเภสัชกรอดิศักดิ์ โรงพยาบาลมหาสารคาม. มหาสารคาม: โรงพยาบาลมหาสารคาม, 2550.

8. Azeredo TB, Oliveira MA, Luiza VL, Esher A, Campos MR. User satisfaction with pharmacy services in the Brazilian National STD/AIDS Program: validity and reliability issues. Cad. Saúde Pública 2009;25:1597-609.

9.Thurman AR, Holden AEC, Shain RN, Miller WB, Piper JM, Perdue ST, et al. Preventing recurrent sexually transmitted diseases in minority adolescents: a  randomized controlled trial. Obstet Gynecol 2008;111:1417-25.

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0