Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Patient Radiation Dose Received from the Body Interventional Radiology

ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจรักษาทางรังสีร่วมรักษาระบบลำตัว

Somsak Wongsanon (สมศักดิ์ วงษ์ศานนท์) 1, Wichai Witchathorntakun (วิชัย วิชชาธรตระกูล) 2, Wattana Wongsanon (วัฒนา วงษ์ศานนท์) 3




หลักการและวัตถุประสงค์:  เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ   จากการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวว่ามีความปลอดภัยหรือไม่เมื่อเทียบกับค่าปริมาณรังสีอ้างอิงมาตรฐาน

 วิธีการศึกษา:  ทำการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง ที่หน่วยรังสีวินิจฉัย ภาควิชารังสีวิทยา

โรงพยาบาลศรีนครินทร์  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยการพิจารณาจากข้อมูลการตรวจผู้ป่วยจำนวน 112 ราย ระยะเวลาตั้งแต่เดือน มกราคม – มิถุนายน ปี พ.ศ. 2551 วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณรังสีของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวกับปริมาณรังสีอ้างอิงมาตรฐาน

ผลการศึกษา :   พบว่า การตรวจรังสีร่วมรักษาหลอดเลือดระบบลำตัวใช้เวลาการฟลูออโรสโคปีเฉลี่ยนานที่สุด 15.7 นาที ผู้ป่วยได้รับปริมาณการดูดกลืนรังสีสะสมเฉลี่ยสูงสุด 133.73 เกรย์ต่อพื้นที่ตารางเซนติเมตร (Gy.cm2 )   และปริมาณการดูดกลืนรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.78 Gy.cm2  การให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านทางหลอดเลือดแดงเป็นหัตถการที่มีการตรวจมากที่สุด ใช้เวลา การฟลูออโรสโคปีเฉลี่ย 8.58 นาที ปริมาณของการดูดกลืนรังสีสะสมเฉลี่ย 121.09 Gy.cm2  และปริมาณการดูดกลืนรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.73 Gy.cm2  การระบายน้ำดีออกจากตับผ่านทางผิวหนังเป็นหัตถการที่ ใช้เวลาในการฟลูออโรสโคปีเฉลี่ยน้อยที่สุด 4.71นาที   โดยผู้ป่วยจะได้รับปริมาณการดูดกลืนรังสีสะสมเฉลี่ย 24.127 Gy.cm2  และปริมาณการดูดกลืนรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.34 Gy.cm2  และนำค่าปริมาณรังสีไปเปรียบเทียบกับระดับรังสีอ้างอิงมาตรฐาน พบทุกหัตถการมีค่าปริมาณการดูดกลืนรังสีสะสมที่ผิวหนังทางด้านรังสีเข้าน้อยกว่า 2 เกรย์(Gy.) ซึ่งเป็นปริมาณรังสีอ้างอิงมาตรฐานโดยทีค่าอยู่ที่ 0.090 Gy, 0.008 Gy. และ 0.002 Gy.  ตามลำดับ

สรุป: ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสะสมที่ผิวหนังทางด้านรังสีเข้าน้อยกว่า 2 Gy. ซึ่งเป็นปริมาณรังสีมาตรฐานที่กำหนดไว้ จึงมีความปลอดภัยในการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัว

หลักการและเหตุผล : การตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวเป็นหัตถการที่มีความถี่ในการตรวจสูงซึ่งเป็นการตรวจชนิดพิเศษและมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องเอกซเรย์ชนิดฟลูออโรสโคปี(fluoroscopy)ที่ปล่อยค่าพลังงานรังสีเอกซ์ที่แตกต่างกันตามลักษณะการตรวจและชนิดของหัตถการซึ่งจะใช้เวลาตรวจนานไม่เท่ากัน   อาจทำให้เกิดผลอันตรายจากรังสีต่อร่างกายผู้ป่วยการประเมินความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติและหาค่าปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับว่ามีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดเมื่อนำไปเทียบกับค่าระดับรังสีที่ถือว่าปลอดภัย (threshold dose ) ที่ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันรังสีนานาชาติกำหนด Objectives and Principles: To make a risk assessment and find out the amount of radiation dose which patients received from the Body Interventional Radiology that it will be safe or not when compared with reference standard dose.

Methods : A descriptive historical research is done by using radiation units of Srinakarin Hospital Diagnostic Radiology Department, Faculty of Medicine, Khon-Kaen University and the data receive from112 patients. Started from January-June 2007 and then were analyzed the relationship between the sample radiation dose and reference radiation dose.

วัตถุประสงค์ : 1. เพื่อศึกษาปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจทางรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวว่าแต่ละหัตถการมีค่าเท่าใด Result : It’s found that the abdominal Embolization. Takes the longest fluoroscopic time of about 15.7 minutes and the patients received the highest accumulated dose of 133.73 Gy.cm2 in mean average and the maximum radiation dose for each patient was 0.78 Gy. TransArterialchemoembolization(TOCE) เป็นหัตถการที่มีความถี่ในการตรวจมากที่สุดใช้เวลา fluoroscopic time เฉลี่ย 8.58 นาทีโดยผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสะสมเฉลี่ย 121.09 Gy.CM 2 และผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูงสุดต่อรายที่ 327.60 Gy.CM 2 และ Percutaneus Tranhepatic Biliary Drainage ( PTBD)เป็นหัตถการที่ Chemo-embolization procedure which tookmost of the fluoroscopic time at approximately 8.58 minutes and the average accumulated dose was 121.09 Gy.cm2. The maximum accumulated dose in a person was 0.73 Gy. Percutaneus transhepatic biliary drainage was the procedureใช้เวลา fluoroscopic time เฉลี่ยน้อยที่สุด that took less of fluoroscopic time about4.71นาที   โดยผู้ป่วยจะได้รับปริมาณรังสีสะสมเฉลี่ย 24.127 Gy.CM 2 และผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูงสุดต่อรายที่ 115.89 Gy.CM 2 และเมื่อนำค่าปริมาณรังสีที่ได้ไปวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับระดับรังสีที่ถือว่าปลอดภัยโดยICRP 4.71 minutes. The patients received the average accumulated dose was about 24.127 Gy.cm 2 and the maximum dose was about 0.34 Gy in a person. All the dose were then analyzed and compared with the standard reference dose. It was found that in every procedure the entrance skin dose were 0.090, 0.008 and 0.002 Gy. Respectively and the rests were less than safety standard value of 2 Gy.

Conclusion : Patients receive accumulated skin dose less than 2 Gy which is conformed to  the standard dose limit. It indicates that the process of body interventional radiology is absolutely safe.

 

 

บทนำ

รังสีร่วมรักษา  เป็นการตรวจเพื่อหาความผิดปกติของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย การตรวจจะมีสองลักษณะโดยลักษณะแรกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วไป(Angiography) และลักษณะที่สองเพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดและใช้สารอุดกั้นฉีดเข้าหลอดเลือดที่ผิดปกติเพื่อลดปริมาณเลือด (Interventional Radiology)    รังสีร่วมรักษาสามารถตรวจได้หลายระบบ เช่น ระบบประสาท ระบบลำตัว และรยางค์ โดยจะทำการตรวจด้วยเครื่องมือชนิดพิเศษฟลูออโรสโคปี เพื่อให้สามารถเห็นอวัยวะต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจรังสีร่วมรักษาจะมีค่าที่แตกต่างกันตามลักษณะของการตรวจและจะใช้เวลาสำหรับการตรวจไม่เท่ากัน ยิ่งใช้เวลานานก็ทำให้เกิดอันตรายจากการได้รับรังสีต่อร่างกายของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นด้วย  จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาและควบคุมปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยจะได้รับให้เหมาะสม รวมถึงการประเมินอันตรายจากรังสีที่ส่งผลต่อบริเวณผิวหนัง เช่น มีลักษณะเป็นรอยไหม้แดง (skin erythema) เนื้อตาย (necrosis) และแผลเน่าเปื่อย (ulceration) ตามลำดับ   เคยมีรายงานพบว่าผู้ป่วยเกิดรอยแผลขึ้นภายหลังจากการได้รับรังสีต่อเนื่องกันเป็นเวลาประมาณ 6-18 เดือน ในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนในประเทศไทยเคยมีรายงานจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์พบว่ามีผู้ป่วย 1 รายที่ได้รับปริมาณการดูดกลืนรังสีสูงกว่าเกณฑ์ อาจทำให้เกิดบาดแผลบนผิวหนัง ซึ่งมีค่าขนาดของการดูดกลืนรังสี 3 Gy.4

 จากความสำคัญดังกล่าว จึงมีหลายประเทศทำการสำรวจหาขนาดปริมาณการดูดกลืนรังสีของผู้ป่วยที่ตรวจรังสีร่วมรักษา ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยหรือไม่ซึ่งมีทั้งในยุโรป2-3และเอเชีย ส่วนในประเทศยังมีการสำรวจน้อย4-7 ปัจจุบันการตรวจรังสีร่วมรักษามีการตรวจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติการตรวจรังสีร่วมรักษา หน่วยรังสีวินิจฉัย ภาควิชารังสีวิทยา โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พบว่าการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวจะมากกว่าระบบประสาทร้อยละ 901 คณะผู้วิจัยจึงได้ทำการสำรวจหาขนาดปริมาณการดูดกลืนรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจระบบลำตัว ว่ามีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับค่าระดับรังสีแนะนำ (guidance levels) ที่ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันรังสีนานาชาติ (ICRP)6 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย

วิธีการศึกษา

เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เลขที่ HE510620 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยจำนวนตัวอย่าง (sample size) ที่ได้นั้นคัดเลือกจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 112 ราย ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และคลาดเคลื่อน ± 5%             

กลุ่มตัวอย่าง  จากการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวของผู้ป่วยจำนวน 112 รายระยะเวลาตั้งแต่

เดือน มกราคม - มิถุนายน 2551

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 

1. เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (Digital subtraction angiography machine) ชนิด 1 ระนาบ รุ่น Phillips Integris Allura

2. เครื่องวัดปริมาณรังสี (Radiation dosimeter) รุ่น Unfors Xi

3. หุ่นจำลองส่วนอก (Chest phantom) มีความหนา 20 เซนติเมตร

4. หุ่นจำลอง (phantom) ผลิตภัณฑ์ของ Cardinal health รุ่น 07-647 สำหรับหาค่ากำลังการแยกรายละเอียดของภาพ

5. เครื่องวัดผลคูณของปริมาณรังสีกับพื้นที่ Dose area product (DAP meter) ชนิดไดเมนเตอร์เอ็ม4

6. แบบบันทึกข้อมูลที่วัดได้ของผู้ป่วยที่ผ่านการตรวจ (ตารางที่1)

การเก็บข้อมูล

ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยที่มารับการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัว จำนวน 112 ราย โดยใช้ค่าพารามิเตอร์ที่ได้ในการวัดปริมาณรังสีที่ผิวด้านทางเข้าEntrance Skin Exposure dose (ESD) ในรูปของการถ่ายเทพลังงานให้แก่ตัวกลาง( air kerma ) และค่าผลคูณระหว่างปริมาณรังสีกับพื้นที่ลำรังสี (DAP) ที่แสดงค่า โดยรวมค่า DAP จากทั้งสองส่วนคือ จากหลอดฟูลออโรสโคปี และจากหลอดเอกซเรย์วินิจฉัยทั่วไป รวมถึงระยะเวลาในการทำ fluoroscopy  ด้วยเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (digital subtraction angiography machine) ชนิด  1 ระนาบรุ่น Phillips Integris Allura6 ในระหว่างเดือน มกราคม ถึง มิถุนายน ปี พ.ศ. 2551ที่หน่วยรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลศรีนครินทร์โดยจะทำการศึกษาข้อมูล 3 หัตถการคือ

1.      การตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัว(body abdominal embolization)

2.      การให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านทางหลอดเลือดแดงเข้าไปสู่บริเวณที่มีโรคอยู่โดยตรงแล้วอุดกั้นหลอดเลือดนั้น (transarterial chemoembolization;TACE)

3.      การระบายน้ำดีออกจากตับผ่านทางผิวหนัง (percutaneus transhepatic biliary drainage; PTBD)

การวิเคราะห์ทางสถิติ

          1. หาค่าสูงสุด ต่ำสุด ค่าเฉลี่ย และการเบี่ยงเบนของในแต่ละพารามิเตอร์

          2. นำค่าปริมาณรังสีไปเปรียบเทียบกับระดับรังสีอ้างอิงมาตรฐาน

ผลการศึกษา

ปริมาณรังสีจากการตรวจ แยกตามชนิดหัตถการ body abdominal embolization ทำการ fluoroscopy เฉลี่ยคือ 15.7 นาที ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสะสมเฉลี่ยสูงสุด 133.73 Gy.cm2 และผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.78 Gy. ส่วนหัตถการที่มีการตรวจมากที่สุดคือ TACE ทำการ fluoroscopy time เฉลี่ย 8.58 นาที โดยผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสะสมเฉลี่ย 121.09 Gy.cm2 และผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.73 Gy. และหัตถการ PTBDใช้เวลาในการทำ fluoroscopy time เฉลี่ยน้อยที่สุดเป็นเวลา 4.71นาที   โดยผู้ป่วยจะได้รับปริมาณรังสีสะสมเฉลี่ย 24.127 Gy.cm2 และผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูงสุดต่อรายที่ 0.34 Gy. (ตารางที่1)

นำค่าปริมาณรังสีที่ได้ไปเปรียบเทียบกับระดับปริมาณรังสีที่ถือว่าปลอดภัย โดย ICRP กำหนดระดับรังสีที่ถือว่าปลอดภัยและไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังทางเข้าโดยจะต้องมีปริมาณน้อยกว่า 2Gy.  จากการศึกษาพบว่าแต่ละหัตถการมีค่าปริมาณรังสีสะสมที่ผิวหนังทางเข้าเป็น 0.090 Gy , 0.008 Gy และ 0.002 Gy ตามลำดับหัตถการ ซึ่งถือว่าเป็นหัตถการที่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีน้อยกว่า threshold dose (2Gy) สำหรับการเกิด transient erythema (ตารางที่2 )

 

ตารางที่ 1 ปริมาณรังสีสะสมที่ได้จากการตรวจรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว

ประเภทหัตถการ

 

จำนวน

ผู้ป่วย

 

จำนวนการถ่ายภาพ

(ครั้ง)

Mean

range ±SD

จำนวนภาพ

(ภาพ)

Mean

range±SD

ปริมาณรังสีจากการถ่ายภาพ

(Gy)

Mean

range±SD

ปริมาณรังสีสะสมจากการตรวจ

(Gy.cm2)

Mean

range±SD

เวลาในการ

Fluoro.

(นาที)

Mean

range±SD

Abdomen

Embolization

10

8.6

3 - 15±3.63

195.1

77 - 525±129.2

0.3

0.062 - 0.78±0.26

133.73

25.24 - 51.64±118.12

15.7

3.14 - 3.48±13.72

TACE

73

4.42

3 - 8±1.8

 

94.57

33 -195±33.36

0.37

0.05 - 0.73±0.16

121.09

21.13 - 327.60±62.46

8.58

2.14 - 18.38±3.93

PTBD

29

3.86

2 - 8±1.48

0

0

0.08

0.01 - 0.34±0.88

24.127

3.3 - 115.89±28.26

4.71

0.55 - 27.48±5.74

 

ตารางที่ 2  ความสัมพันธ์ระหว่างค่าปริมาณรังสีของกลุ่มตัวอย่างกับปริมาณรังสีที่ใช้อ้างอิง

ประเภทหัตถการ

 

DAP(Gy.cm2)

Mean

range ±SD

DAP to ESD (Gy.)

Mean

range ±SD

Threshold  dose

2 Gy.

Abdominal

embolization

133.73

25.24-351.64±118.12

0.090

0.01 - 0.21±0.05

<2 Gy.

TACE

121.09

21.13 - 327.60±62.46

0.008

0.002 - 0.022 ±0.012

<2 Gy.

PTBD

24.127

3.30 - 115.89±28.26

0.002

0.001 - 0.007±0.004

<2 Gy.

 DAP = Dose area product, ESD = Entrance Skin Exposure dose

 

วิจารณ์

จากผลการตรวจวัดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการตรวจรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัวด้วยหัตถการ Abdomen Embolization,TACE , PTBD พบว่าการคำนวณปริมาณรังสีจาก DAPนั้น ได้จากการรวมปริมาณรังสีจากหลายๆ พื้นที่บนผิวหนังผู้ป่วย จึงเป็นผลให้นั้นปริมาณรังสีที่คำนวณได้มิได้แสดงถึงปริมาณรังสีสูงสุดที่เข้าสู่ตัวผู้ป่วย  จึงจำเป็นต้องนำค่า ปริมาณรังสีจาก DAP ไปคำนวณหาค่าปริมาณรังสีที่ผิวหนัง(ESD)8 ได้รับเพื่อเทียบเคียงกับค่าระดับรังสีที่ทนได้สูงสุด (Threshold dose) ตามที่ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากรังสีนานาชาติ (International Commission on Radiological Protection, ICRP; 2000)กำหนดไว้ให้ยอมรับได้โดยถือว่าปลอดภัย

ปริมาณรังสีที่ได้รับมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อันได้แก่ประสิทธิภาพและการทำงานของตัวเครื่องเป็นปัจจัยแรก  เทคนิคและกระบวนการตรวจวินิจฉัยซึ่งขึ้นอยู่กับรังสีแพทย์เป็นปัจจัยที่ สอง  ความหนาของผู้ป่วยและพยาธิสภาพเป็นปัจจัยที่สาม  ดังนั้นวิธีการตรวจวัดปริมาณรังสีจึงมีความซับซ้อน และค่าปริมาณรังสีที่วัดได้ก็มีความแปรปรวนตามไปด้วย เพราะมีจำนวนตัวแปรย่อยหลายตัวมาเกี่ยวข้องและบางตัวนั้นไม่สามารถควบคุมได้

ข้อเสนอแนะ

นำค่าปริมาณรังสีที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยอื่นๆ(ตารางที่3)ศึกษาว่าในภาพรวมค่าปริมาณรังสีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลงานวิจัยที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้ามีค่าสูงกว่างานวิจัยอื่นๆมากหรือเกินระดับปริมาณรังสีที่ถือว่าปลอดภัย ต้องรีบดำเนินการหาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ต่อไป 

 

ตารางที่ 3 ค่าปริมาณรังสีผลงานวิจัยที่ผ่านมา

 

งานวิจัย

ระยะเวลา

(นาที)

DAP

(Gy.CM2)

ESD

(Gy)

งานวิจัยนี้

8.58

133.73

0.09

Roshan s.และคณะIndian ,2005

22. 72

141.8

1.03

Bazil bin Sapiinและคณะ Malaysia,1998

-

124.5

0.126.

William,1997

-

105.0

-

European proposal, 2003

16

94

-

รพ.จุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ

-

190.28

-

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

32.40

401.29

 

 

 

สรุป

จากการศึกษาพบว่าการตรวจรังสีร่วมรักษาระบบลำตัวที่หน่วยรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เป็นหัตถการใช้เวลาในการตรวจนาน ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้รับปริมาณรังสีไม่มากนัก คือน้อยกว่า Threshold dose (2Gy) สำหรับการเกิด transient erythema แต่อาจส่งผลทางรังสีที่เด่นชัดแก่ผู้ป่วยได้ ถ้าหากทำการตรวจอย่างไม่ระมัดระวัง ดังนั้นจึงควรให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยก่อนการทำหัตถการและต้องให้ข้อมูลถึงผลทางรังสีที่ผู้ป่วยอาจจะได้รับจากการทำหัถตการดังกล่าวด้วยทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นจริง

กิตติกรรมประกาศ

          งานวิจัยเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือและช่วยเหลือจากนักรังสีการแพทย์ที่ประจำห้องตรวจรังสีร่วมรักษาที่ได้เก็บและบันทึกข้อมูลการตรวจผู้ป่วย คณะผู้วิจัยใคร่ขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้

          ขอขอบคุณหัวหน้าภาควิชารังสีวิทยาที่สนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งในการจัดหาเครื่องมือการตรวจวัดปริมาณรังสี อันเป็นผลให้งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี

 

เอกสารอ้างอิง

1. สถิติการให้บริการหน่วยรังสีวินิจฉัย ห้องตรวจหลอดเลือด( Angiogram) ประจำปี2551 (มกราคม ถึง มิถุนายน 2551)

2. National Radiological Protection Board. Radiation exposure of the UK population from Medical and dental x-ray examinations, NRPB-W4. National Radiological Protection Board, Oxon, 2002.

3. U.S. Food and Drug Administration. (2001) Estimated benefits of proposed amendments to the FDA radiation safety standard for diagnostic x-ray equipment. February 15-16, 2001. (Available from http://www.fda.gov/cdrh/radhlth/021501_xray.html). [Cited August 17, 2009]

4. Chulalongkorn University, 2004 ( http://hdl.handle.net/123456789/2509) [Cited August 17, 2009]

5. International Commission on Radiological Protection. Recommendations of the International Commission 60. Oxford: Pergammon Press, 1990:101-4

6. Allura Integris EP-Workmate integration for Allura Integris. Phillips Manual, 2003
7.
คทายุทธ นิกาพฤกษ์. การตรวจวัดปริมาณรังสีจากการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคนิคแบเรียมเอ็นนิมาและแบเรียมมีล.ในเขตจังหวัดอุดรธานี. รายงานวิจัย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุดรธานี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ม 2548; 16-21.

8.Martin CJ. Measurement of patient entrance surface dose rates for fluoroscopic X-ray units. Phys Med Biol 1995; 178:653-8.

 

 

 

 

 

 
 

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

Fear Level in Preschoolers Undergoing Computed Tomography: Affect of Psychological Preparation by Story vs. Normal Preparation (การศึกษาเปรียบเทียบความกลัวการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของเด็กวัยก่อนเรียนระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเตรียมจิตใจด้วยการเล่านิทานกับกลุ่มที่ได้รับการเตรียมตามปกติ)
 
Risk Factors Associated With Allergic To Non – Ionic Contrast Media In Patients Undergoing Chest Or Abdominal Computed Tomography (ปัจจัยเสี่ยงต่อการแพ้สารทึบรังสีชนิดไม่แตกตัวในผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกและช่องท้อง)
 
Diagnostic Reliability of the Singh Index : Femoral Neck Osteoporosis (ความน่าเชื่อถือของ Sign index ในการวินิจฉัยโรคกระดูกำพรุนของคอกระดูกต้นขา)
 
Clinical Manifestations and Angiographic Ceatures in Carotid – Cavernous sinus Fistula (ลักษณะทางคลินิกและลักษณะทางรังสีวิทยาในผู้ป่วย Carotid – Cavernous sinus Fistula)
 
<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

Radiology
 
 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0