Untitled Document
 
 
 
 
Untitled Document
Home
Current issue
Past issues
Topic collections
Search
e-journal Editor page

Motivation of Nutritionists in Northeastern Provincial Hospital in Performance under Nutritional Working Standard

แรงจูงใจของนักโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐาน งานโภชนาการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Rujiraporn Khankhetkij (รุจิราพร กลั่นเขตรกิจ) 1, Pirasak Sriruecha (พีระศักดิ์ ศรีฤาชา) 2




หลักการและวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแรงจูงใจของนักโภชนาการที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วิธีการศึกษา : เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาในนักโภชนาการทุกคนที่ปฏิบัติงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ     จำนวน   19   แห่ง    รวม  76 คนโดยใช้แบบสอบถามที่ได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และผลทดสอบนำร่องพบว่าแบบวัดมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาช 0.96

ผลการศึกษา : ประชากรมีแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.51±0.37) มีการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.58 ±0.67) พบว่าอายุมีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจของนักโภชนาการ (p-value.< 0.05) และแรงจูงใจมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางทางบวกกับนักโภชนาการ  (r=0.57, p < 0.001) โดยมีปัจจัยจูงใจ (r=0.53, p < 0.001)  เรียงตามลำดับได้ดังนี้คือด้านลักษณะงาน   ความรับผิดชอบ  การยอมรับนับถือ ความสำเร็จในการทำงาน และความก้าวหน้าในตำแหน่ง  ส่วนปัจจัยค้ำจุน (r =0.51, p < 0.001) ได้แก่ด้านสถานภาพการปฏิบัติงาน   นโยบายและการบริหาร  ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล   การปกครองบังคับบัญชา สำหรับปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะพบว่าร้อยละ 40 มีปัญหาด้านการบริหารและพัฒนาองค์กร

สรุป ผู้บริหารที่ต้องการให้การปฏิบัติงานของนักโภชนาการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนแรงจูงใจ ในขณะเดียวกันควรแก้ไขปัญหาด้านการบริหารและพัฒนาองค์กร 

คำสำคัญ:      แรงจูงใจ นักโภชนาการ    มาตรฐานการปฏิบัติงาน

Background and objective:  The purpose of this study was to study motivation of  nutritionists  in  northeastern provincial hospital  in  performing under  nutritional working  standard.

Methods :  This is  a Cross sectional descriptive  research. The studied population consist of  76  nutritionists working  in  19 northeastern provincial  hospitals of Thailand.   The research instruments were the questionnaires and focus group discussion technique. The validity was checked by 3 experts and with the Cronach coefficient of 0.96.

Results: The motivation affecting the administration was at ‘high’ level (X=3.51±0.37).  The performance under nutritional working standard  was found at ‘high’ level (X=3.58 ±0.67).  There was  a positive correlation  between the motivation and nutritionists  who work  under the nutritional  working standard  of the Northeast   hospital at  medium  level   (r = 0.57,p < 0.001); motivation factor was  (r = 0.53, p-value < 0.001); hygiene factor was found at medium (r =0.51 p < 0.001) Fro the problem and recommendation,  The  problem of administration and organization development was found 40  percent.

Conclusion: The motivation of nutritionists in Northeastern provincial hospitals who work under the nutritional working   standards was in high level. It can be organized in the serial order according to the correlation as follow the characteristic of work, responsibility, the progress of  the position, working status, policy and administration and the relationship among the workers in the aspect of administration and control respectively.

Keywords:  Motivation,   Nutritionist, Working standards

 

 

บทนำ

            ปัจจุบันในระบบสุขภาพแห่งชาติ มีกลไกหรือองค์กรต่าง ดำเนินการด้านสุขภาพเป็นจำนวนมากและจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ1  มาใช้ในการพัฒนาประเทศ และพัฒนาเชิงนวัตกรรมให้ตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตและบริการ กำหนดให้โรงพยาบาลจะต้องให้การบริการที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพและคุณภาพ เป็นสถานบริการทางการแพทย์ที่ตรวจรักษาโรคแก่ประชาชนและรับผู้ป่วยไว้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับการบริการหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกับอยู่ที่บ้าน รวมถึงเรื่องอาหารด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ป่วยต้องได้รับอาหารบำบัดโรค อาหารจึงนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา2  กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีโรงพยาบาลในสังกัดเป็นจำนวนมากได้ตระหนักถึงความสำคัญของงานโภชนาการจึงได้จัดทำ “มาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาล”3  โดยใช้มาตรฐานงานจากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ครอบคลุมทั้ง 6 ด้าน  ได้แก่ การบริหารจัดการองค์กร   การบริหารและพัฒนาบุคลากร         การบริหารทรัพยากร   งานควบคุมคุณภาพการผลิตและบริการอาหารผู้ป่วย  กิจกรรมทางคลินิกและการเผยแพร่ความรู้    ซึ่งทั้งหมดบริหารงานโดย “นักโภชนาการ”

 

                    แต่การที่องค์กรจะบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของผู้ปฏิบัติงาน เชอร์มาฮอร์น และคณะ4 ได้อธิบายว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของบุคคล ประกอบด้วย ลักษณะประชากร ความสามารถ จิตวิทยา ร่วมกับ ความพยายามในการทำงาน (Work Effort) ทฤษฏีสองปัจจัยของ  เฮอร์ซเบิร์ก5 กล่าวว่า ความต้องการด้านการจูงใจได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่มนุษย์จะรู้สึกพอใจพร้อมปฏิบัติงานด้วยความรักในหน้าที่ อุทิศตนเองอย่างหนัก รวมทั้งเสียสละทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับองค์การอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เฮอร์ซเบิร์ก ได้สรุปถึงความต้องการของคนในองค์การหรือ  การจูงใจจากการทำงานว่า ความพอใจในงานที่ทำ และความไม่พอใจในงานที่ทำ ไม่ได้มาจากปัจจัยกลุ่มเดียวกัน แต่มีสาเหตุมาจากปัจจัย 2 กลุ่ม คือ ปัจจัยจูงใจ กับปัจจัยค้ำจุน ปัจจัยจูงใจ เป็นสิ่งที่สร้างความพึงพอใจในงานให้เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บุคคลรักและชอบงานที่ปฏิบัติอยู่ และทำให้บุคคลในองค์การปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยค้ำจุนหรือปัจจัยสุขอนามัย เป็นปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความไม่พอใจในการทำงาน และเป็นปัจจัยที่ช่วยให้บุคคลยังคงปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา มีความรู้สึกพึงพอใจพร้อมที่จะปฏิบัติงานด้วยความรักในหน้าที่  ปัจจุบันนักโภชนาการประสบปัญหาและมีอุปสรรคในการปฏิบัติงานหลายประการ6   ดังนั้นผู้ศึกษาจึงให้ความสนใจที่จะศึกษาแรงจูงใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของนักโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็นปัจจัยการบริหารที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานของนักโภชนาการในโรงพยาบาลโดยคาดว่าผลการศึกษาจะสะท้อนให้เห็นสภาพที่เป็นจริงมากขึ้น อีกทั้งการนำผลการศึกษาไปประยุกต์เพื่อใช้เป็นแนวทางการวางแผน พัฒนา สนับสนุนและส่งเสริมการปฏิบัติงานของนักโภชนาการในโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ทำหน้าที่บริหารงานโภชนาการในโรงพยาบาลในการพัฒนา ศักยภาพงานโภชนาการในโรงพยาบาลให้ก้าวหน้าต่อไป

 

                

วัตถุประสงค์

                 เพื่อศึกษา แรงจูงใจ  ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของนักโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการศึกษา  

           แรงจูงใจ  หมายถึง  ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้นักโภชนาการ ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ  และแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย   คือ   ปัจจัยจูงใจ (motivation factors) หมายถึง ปัจจัยสร้างความพึงพอใจในงานให้เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บุคคลรักและชอบงานที่ปฏิบัติอยู่ และทำให้บุคคลในองค์การปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยค้ำจุน (hygiene factors)  หมายถึง  ปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความไม่พอใจในการทำงานและเป็นปัจจัยที่ช่วยให้บุคคลยังคงปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา 

          นักโภชนาการ  คือผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ในสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ  หรือโภชนวิทยา ทำหน้าที่ปฏิบัติงานโภชนาการในโรงพยาบาล

           มาตรฐานงานโภชนาการ  หมายถึง   การปฏิบัติงานของนักโภชนาการ โภชนากร ตามมาตรฐานงานโภชนาการ ในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข  โดยครอบคลุมทั้งหมด 6 ด้าน คือ การบริหารจัดการองค์กร   การบริหารและพัฒนาบุคลากร         การบริหารทรัพยากร   งานควบคุมคุณภาพการผลิตและบริการอาหารผู้ป่วย กิจกรรมทางคลินิกและการเผยแพร่ความรู้    งานพัฒนาคุณภาพและวิจัย

            วิธีการศึกษา   เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา  ประชากรที่ศึกษาคือ นักโภชนาการ โภชนากร ทุกคนที่ปฏิบัติงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัด  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ     จำนวน   19   แห่ง    รวม    76 คน การศึกษานี้ได้รับเสนอขอรับการยกเว้นการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2551 เลขที่โครงการ HE512106

       การเก็บรวบรวมข้อมูล  เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม  ที่ผู้ศึกษาได้รวบรวมและทบทวนจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและอาศัยแนวคิดทฤษฎีสองปัจจัยของของเฮอร์ซเบิร์กมีทั้งหมด 4 ส่วน คือ 1) คุณลักษณะส่วนบุคคล   2) แรงจูงใจ 3) การปฏิบัติงานตามมาตรฐาน และ 4) ปัญหา อุปสรรค พร้อมข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ โดยเครื่องมือได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)  จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาช 0.96   มีคำตอบให้เลือกตอบ 5 ระดับ (5, 4, 3, 2, 1)   และคำถามเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ  เป็นคำถามปลายเปิดให้เติมอย่างอิสระ ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1  - 31 ธันวาคม 2551

          การวิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผลข้อมูลโดยนำรหัสข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลด้วยโปรแกรม Microsoft Excel วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่(frequency) ร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard  deviation) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การแปลผลคะแนนระดับแรงจูงใจและการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ จัดระดับ  5 ระดับ คือ มากที่สุด  มาก ปานกลาง  น้อย     น้อยที่สุด  ซึ่งได้จากการแบ่งช่วงคะแนนเฉลี่ย  ระดับความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานของนักโภชนาการระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ใช้เกณฑ์ของอิลิฟสัน เคริท7 มีค่าตั้งแต่ -1 ถึง +1 แบ่งระดับ  ดังนี้ ถ้าค่า p-value >0.05    r = 0 หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์ (no relationship) r ± 0.01 ถึง ± 0.30 หมายถึง มีความสัมพันธ์ต่ำ (weak relationship)r  ± 0.31 ถึง ± 0.70 หมายถึง มีความสัมพันธ์ปานกลาง (moderate relationship)   r ± 0.71 ถึง ± 0.99 หมายถึง  มีความสัมพันธ์สูง (strong relationship) r  ± 1 หมายถึง มีความสัมพันธ์สูงมาก (perfect relationship)

ผลการศึกษา

1 คุณลักษณะประชากร

            พบว่า กลุ่มประชากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 97.4 อายุระหว่าง 40-50 ปี ร้อยละ 40.8 อายุเฉลี่ย 41.5± 9.83ปี  อายุต่ำสุด 23 ปี อายุสูงสุด  58  ปี   สถานภาพสมรส คู่ ร้อยละ 52.6 ระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 82.9 รายได้เฉลี่ย 19,500 ± 9,263.46 บาท  รายได้ต่ำสุด 6,800 บาท สูงสุด 38,000 บาท  สถานภาพตำแหน่ง นักโภชนาการ ร้อยละ 43.4  และร้อยละ 68.4ไม่เคยได้รับประสบการณ์ฝึกอบรม/การได้รับการพัฒนาความสามารถเกี่ยวกับงานโภชนาการ  (ตารางที่  1)

2 ระดับแรงจูงใจของนักโภชนาการ

   ระดับแรงจูงใจของประชากร พบว่าในภาพรวมประชากรมีแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก  (3.51 ± 0.37) มีแรงจูงใจด้านปัจจัยจูงใจอยู่ในระดับมาก (3.69 ± 0.52) แรงจูงใจด้านปัจจัยค้ำจุนอยู่ในระดับปานกลาง (3.41 ± 0.35)

               3. ระดับการปฏิบัติงาน

          ระดับการปฏิบัติงานของกลุ่มประชากร พบว่าในภาพรวมกลุ่มประชากร  มีการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ( 3.58 ± 0.67) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า   ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ งานควบคุมคุณภาพการผลิตและบริการอาหารผู้ป่วยอยู่ในระดับมาก (4.07±0.49) รองลงมาคือ   กิจกรรมทางคลินิกและการเผยแพร่ความรู้อยู่ในระดับมาก (3.81 ± 0.67) ส่วนด้านมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การบริหารทรัพยากร (3.13 ± 0.75) 

      4   คุณลักษณะประชากรที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของนักโภชนาการ

    ผลการศึกษา พบว่า อายุมีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจของนักโภชนาการ ที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ ในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(p-value < 0.05) ส่วน เพศ   สถานภาพสมรส ระดับการศึกษาสถานภาพตำแหน่ง รายได้ และประสบการณ์ฝึกอบรมเฉพาะทาง ไม่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจของนักโภชนาการ ที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ ในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (p-value > 0.05)  (ตารางที่ 2,3)

5.ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจของนักโภชนาการ

     จากผลการศึกษา พบว่า แรงจูงใจ (r=0.57 p-value<0.001 ) มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางทางบวกกับนักโภชนาการที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  โดยมีปัจจัยจูงใจ (r=0.53 p-value<0.001)   ด้านความสำเร็จในการทำงาน   (r=0.36<0.001) การยอมรับนับถือ (r=0.43<0.001)  ลักษณะงาน (r=0.51<0.001) ความรับผิดชอบ (r=0.50<0.001) ความก้าวหน้าในตำแหน่ง (r=0.30<0.001) และปัจจัยค้ำจุน (r=0.51 p-value<0.001) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (r=0.48<0.001) การปกครองบังคับบัญชา (r=0.41<0.001) นโยบายและการบริหาร (r=0.59 <0.001)  สภาพการปฏิบัติงาน (r=0.63<0.001)  ส่วนปัจจัยค้ำจุน ด้านเงินเดือน/ค่าตอบแทน สถานภาพของวิชาชีพ ความมั่นคงในการปฏิบัติงาน ชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัว ไม่มีความสัมพันธ์กับนักโภชนาการที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ค่า p-value  > 0.05) (ตารางที่ 4)

 

 6.ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะของนักโภชนาการ

ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแรงจูงใจของนักโภชนาการกับ การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  โดยรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามปลายเปิด โดยประชากรได้เสนอปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะทั้งหมด 52 ฉบับจากแบบสอบถาม 76 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 68.42   โดยร้อยละ 40 เป็นปัญหาด้านการบริหารและพัฒนาองค์กร

ตารางที่ 1  จำนวนและ ร้อยละของกลุ่มประชากรนักโภชนาการ จำแนกตามลักษณะประชากร

คุณลักษณะประชากร

จำนวน

(N= 76)

ร้อยละ

เพศ

 

 

 

 

ชาย

2

2.60

 

หญิง

74

97.40

อายุ

 

 

 

 

20-30 ปี

20

26.30

 

31-40 ปี

17

22.40

 

41-50 ปี

31

40.80

 

51-60 ปี

8

10.50

สถานภาพสมรส

 

 

 

โสด

30

39.50

 

คู่

40

52.60

 

หม้าย/หย่า/แยก

6

7.90

ระดับการศึกษา

 

 

 

ต่ำกว่าปริญญาตรี

7

9.20

 

ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

63

82.90

 

ปริญญาโทหรือสูงกว่า

6

7.90

รายได้

 

 

 

ต่ำกว่า 10,000 บาท

28

36.80

         

10,001 - 15,000  บาท

7

9.20

 

15,001 - 20,000  บาท

7

9.20

 

20,001 - 25,000  บาท

11

14.50

 

25,000 - 30,000 บาท

14

18.40

 

มากกว่า 30,000 บาท

9

11.80

สถานภาพตำแหน่ง

 

 

 

หัวหน้างาน/หัวหน้าหน่วย

18

23.70

 

นักโภชนาการ

33

43.40

 

โภชนากร

25

32.90

ประสบการณ์ฝึกอบรม/การได้รับการพัฒนาความสามารถเกี่ยวกับงานโภชนาการ

 

 

 

เคย

24

31.60

 

ไม่เคย

52

68.40

 

ตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางประชากรกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

คุณลักษณะทางประชากร 

 การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ

Chi-square test ( 2)

df

p-value

ความสัมพันธ์

เพศ

1.70

2

0.54

ไม่มีความสัมพันธ์

สถานภาพสมรส

2.36

4

0.69

ไม่มีความสัมพันธ์

ระดับการศึกษา

1.42

4

0.89

ไม่มีความสัมพันธ์

สถานภาพตำแหน่ง

3.45

4

0.52

ไม่มีความสัมพันธ์

ประสบการณ์ฝึกอบรม

1.63

2

0.55

ไม่มีความสัมพันธ์

 

 

ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะประชากรกับด้านอายุและรายได้ กับ การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

คุณลักษณะทางประชากร 

 การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ

สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์

p-value

        ความสัมพันธ์

      อายุ

            0.23

  0.04

มีความสัมพันธ์

      รายได้

            0.19

  0.09

ไม่มีความสัมพันธ์

 

ตารางที่ 4      ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจของนักโภชนาการกับ การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แรงจูงใจ

 การปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ

สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์

p-value

ระดับความสัมพันธ์

 แรงจูงใจ

0.57**

<0.001

ปานกลาง

ปัจจัยจูงใจ

0.53**

<0.001

ปานกลาง

ด้านความสำเร็จใน การทำงาน

0.36**

<0.001

ปานกลาง

ด้านการยอมรับนับถือ

0.43**

<0.001

ปานกลาง

ด้านลักษณะงาน

0.51**

<0.001

ปานกลาง

ด้านความรับผิดชอบ

0.50**

<0.001

ปานกลาง

ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่ง

            0.30**

<0.001

ปานกลาง

ปัจจัยค้ำจุน

0.51**

<0.001

ปานกลาง

ด้านเงินเดือน/ค่าตอบแทน

               -

0.935

ไม่มีความสัมพันธ์

ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

0.48**

<0.001

ปานกลาง

ด้านการปกครองบังคับบัญชา

0.41**

<0.001

ปานกลาง

ด้านนโยบายและการบริหาร

0.59**

<0.001

ปานกลาง

ด้านสภาพการปฏิบัติงาน 

0.63**

<0.001

ปานกลาง

ด้านสถานภาพของวิชาชีพ  

                -

0.176

ไม่มีความสัมพันธ์

ด้านความมั่นคงในการปฏิบัติงาน

                -

0.127

ไม่มีความสัมพันธ์

ด้านชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัว

                -

0.129

ไม่มีความสัมพันธ์

** ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%   ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Spearman  

วิจารณ์

                 ผลการศึกษา พบว่าแรงจูงใจ มีความสัมพันธ์กับนักโภชนาการที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ    ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ รติ  บุญมาก8 พบว่าแรงจูงใจ  มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการปฏิบัติงาน การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ  ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในศูนย์สุขภาพชุมชน จังหวัดหนองบัวลำภู การศึกษาของ ฐากูร  เกชิต9  แรงจูงใจ มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางและระดับสูงกับการปฏิบัติงานพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการและบริหารการเงินการคลังโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของหัวหน้าศูนย์สุขภาพชุมชน จังหวัดขอนแก่น และ สัมพันธ์  บัณฑิตเสน10  ศึกษาแรงจูงใจที่มีผลต่อการดำเนินงานตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในศูนย์สุขภาพชุมชน จังหวัดหนองคาย พบว่า  ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน  มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการดำเนินงานตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในศูนย์สุขภาพชุมชน  จังหวัดหนองคาย เช่นกัน

                  ดังนั้นการสร้างแรงจูงใจ ของนักโภชนาการควรทำความเข้าใจลักษณะงานของนักโภชนาการที่ต้องใช้ทักษะการปฏิบัติงานที่หลากหลายยุ่งยากซ้ำซ้อนจำเป็นต้องมีระเบียบ การปฏิบัติงานที่ชัดเจน   ด้านความรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายยอมรับการตัดสินใจไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน อีกทั้งการให้อำนาจตัดสินแก้ไขปัญหา    การยอมรับนับถือ จากวิชาชีพที่ต้องทำงานร่วมกัน เช่น แพทย์ พยาบาล  ผู้บังคับบัญชา  เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนผู้ใต้บังคับบัญชา ความก้าวหน้าในตำแหน่ง  และควรมีการปรับตำแหน่งงานให้สูงขึ้น สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานมานาน ส่งเสริมและให้โอกาสการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับผู้ปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง มีการมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อม เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำงานอย่างเพียงพอ เหมาะสม  มีนโยบายและการบริหาร   ที่ชัดเจนสอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบ ผู้บริหารเห็นความสำคัญพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อให้งานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   ให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน   ด้านการปกครองบังคับบัญชา  ต้องมีความยุติธรรม ส่งเสริมสนับสนุน ให้โอกาส คำแนะนำ  ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม

สรุป

          แรงจูงใจ มีผลกับการปฏิบัติงานของนักโภชนาการ  ที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการในโรงพยาบาลระดับจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบทุกด้าน ดังนั้นจึงควรมีนโยบาย เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ที่ทำหน้าที่นักโภชนาการในโรงพยาบาล อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้วิชาชีพนี้มีการพัฒนายิ่งขึ้นไป 

ข้อเสนอแนะ

              ควรมีการศึกษาแรงจูงใจของนักโภชนาการ ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนเพื่อเปรียบเทียบกับนักโภชนาการ ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับจังหวัด   ควรมีการศึกษาปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อ การปฏิบัติงานของนักโภชนาการที่ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานโภชนาการ เช่น การบริหารงาน การสนับสนุนองค์การ บรรยากาศองค์กร เป็นต้น

 

กิตติกรรมประกาศ

             การศึกษาครั้งนี้ได้รับทุนอุดหนุนและส่งเสริมการทำวิจัยจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้วิจัยขอขอบคุณคณะกรรมการสอบการศึกษาอิสระทุกท่านที่ช่วยชี้แนะนำในประเด็นต่างๆ และขอขอบคุณนักโภชนาการ,โภชนากรงานโภชนาการโรงพยาบาลระดับจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกคนที่ได้กรุณาตอบแบบสอบถาม ซึ่งทำให้การศึกษาครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี

เอกสารอ้างอิง

1. กระทรวงสาธารณสุข. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ . แผนพัฒนาการาธารณสุข ฉบับที่ 10  

 (พ.ศ.2550-2554). กรุงเทพฯ, 2550.

2. รัศมี คันธเสวี. หน่วยที่ 13 การจัดบริการด้านอาหาร เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหาร

โรงพยาบาล 2 หน่วยที่ 8-15.  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี:

กรุงเทพฯ, 2548.

3. กระทรวงสาธารณสุข. .กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ.  มาตรฐานงานโภชนาการ  กระทรวง 

สาธารณสุข   กรุงเทพฯ, 2550.

4. Schermerhorn R, Hunt G, Osborn N. Organizational Behavior .New York:      

John    Wiley &  Sons, 2003.

5. Herzberg  F.  et al. The motivation to  Work.  U.S.A.:  Transaction Publishers, 1990.

6. รุจิรา สัมมะสุต. การบริหารงานโภชนาการในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: โนเบิ้ล, 2545

7. Eiifson KW, Runyon RP, Haber A. Fundamentals of social statistics. 2nd    ed. New  York:  McGraw-Hill; 1990.

8. รติ บุญมาก. แรงจูงใจและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อการปฏิบัติงานการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในศูนย์สุขภาพชุมชน

จังหวัดหนองบัวลำภู.  [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารสาธารณสุขบัณฑิตวิทยาลัย] มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2551.

9. ฐากูร    เกชิต.   แรงจูงใจและการสนับสนุนจากองค์การที่มีผลต่อการปฏิบัติงานพัฒนา

คุณภาพมาตรฐานการบริการและบริหารการเงินการคลังโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของหัวหน้าศูนย์สุขภาพชุมชน จังหวัดขอนแก่น. [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต

สาขาวิชา การบริหารสาธารณสุข บัณฑิตวิทยาลัย] มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2551. 

10. สัมพันธ์ บัณฑิตเสน. แรงจูงใจที่มีผลต่อการดำเนินงานตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติ

ราชการของเจ้าหน้าที่ในศูนย์สุขภาพชุมชน จังหวัดหนองคาย  [การศึกษาอิสระปริญญา

สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาวิชาการบริหารสาธารณสุข  บัณฑิตวิทยาลัย] 

มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2551.  

 

                                                                                                      

 

Untitled Document
Article Location

Untitled Document
Article Option
       Abstract
       Fulltext
       PDF File
Untitled Document
 
ทำหน้าที่ ดึง Collection ที่เกี่ยวข้อง แสดง บทความ ตามที่ีมีใน collection ที่มีใน list Untitled Document
Another articles
in this topic collection

<More>
Untitled Document
 
This article is under
this collection.

 
 
 
Srinagarind Medical Journal,Faculty of Medicine, Khon Kaen University. Copy Right © All Rights Reserved.
 
 
 
 

 


Warning: Unknown: Your script possibly relies on a session side-effect which existed until PHP 4.2.3. Please be advised that the session extension does not consider global variables as a source of data, unless register_globals is enabled. You can disable this functionality and this warning by setting session.bug_compat_42 or session.bug_compat_warn to off, respectively in Unknown on line 0