แนวทางวินิจฉัยและการรักษาภาวะไม่พึงประสงค์จากการใช้สารทึบรังสี 5
ควรต้องแยกประเภทของภาวะไม่พึงประสงค์ให้ได้ โดยเฉพาะรายที่อาการ ปานกลาง และ รุนแรง เพราะการรักษาบางอย่างต่างกัน ใน idiosyncratic และ non- idiosyncratic type ผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องได้รับการรักษาที่มากหรือน้อยเกินไป โดยต้องอาศัยการประเมินภาวะเสี่ยง โรคประจำตัวและยาที่ใช้เป็นประจำในผู้ป่วยทุกคนก่อนฉีด ร่วมกับการสังเกตอาการที่เกิดขึ้น และการตรวจร่างกาย เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษา โดยที่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่ห้องตรวจโดยเฉพาะแพทย์ ควรต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการวินิจฉัยและให้การรักษาเบื้องต้นได้
ต้องสังเกตอาการผิดปรกติตลอดเวลาและประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะในขณะฉีดและหลังฉีด โดยเฉพาะในรายที่มีภาวะไม่พึงประสงค์ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะอาการจะคงที่หรือ หายดี ในรายที่มีภาวะไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงการประเมิน airway, breathing, และ circulation (ABCs) ก็ยังจำเป็นต้องใช้ อาการมักจะเกิดภายใน 20 นาทีของการฉีด โดยเฉพาะใน 10 นาทีแรก จึงควร monitor ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในขณะฉีดและหลังฉีด
ห้องที่ใช้ตรวจต้องมีอุปกรณ์ช่วยกู้ชีพที่พร้อมใช้อย่างครบครัน และต้องตรวจเช็คเครื่องมือและยาสม่ำเสมอ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทุกโอกาส
ในรายที่มีภาวะไม่พึงประสงค์ ต้องหยุดการให้สารทึบรังสีทันที และต้องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันโลหิตและ oxygen saturation ของผู้ป่วย ในรายที่อาการไม่มากจะหายได้เอง ไม่ต้องการการรักษาเฉพาะ แต่ก็ต้องดูแลใกล้ชิดจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือหายเป็นปรกติ
การรักษาตามสาเหตุการเกิด
1. การรักษา anaphylactic reactions จาก idiosyncratic reaction มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยแยกออกจากการแพ้ประเภทอื่น และการรักษาก็มักจะไม่ซับซ้อน
1. Urticaria ถ้าไม่มีอาการอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ยา
อาการแบบไม่มากหรืออาการปานกลางให้ยาDiphenhydramine 50 มก. โดยสามารถให้โดยการกิน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
อาการแบบรุนแรงให้ diphenhydramine 50 มก. พิจารณาให้ร่วมกับ cimetidine 300 มก. หรือ ranitidine 50 มก. โดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ
2. Bronchospasm รักษาตามอาการที่เกิดขึ้นดังนี้
อาการไม่มาก ให้ออกซิเจน 10-12 ลิตรต่อนาทีโดยวิธีหน้ากาก face mask ดูแลอย่างใกล้ชิด และหรือให้ bronchodilator inhaler
อาการปานกลาง ไม่มีความดันโลหิตต่ำ ให้การรักษาเหมือนอาการไม่มาก และให้ epinephrine 1:1000, 0.1-0.3 มล.ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ให้ซ้ำทุกๆ 10-15 นาทีตามความจำเป็นจนปริมาณรวมถึง 1 มล.
อาการรุนแรงให้ epinephrine 1:10,000 1 มล. ฉีดเข้าเส้นเลือดดำช้าๆประมาณ 5 นาทีและให้ซ้ำได้ทุกๆ 5-10 นาที ตามความจำเป็น.
3. Laryngeal edema
อาการไม่มาก ถึงอาการปานกลาง ให้ ออกซิเจนตาม ข้อ 2 และ epinephrine 1:1000, 0.1-0.3 มล. ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ให้ซ้ำทุกๆ 10-15 นาทีตามความจำเป็นจนถึง 1 มล.
อาการปานกลางถึงอาการรุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจ ร่วมกับการพิจารณาให้ยา diphenhydramine 50 มล. ร่วมกับ cimetidine 300 มก. หรือ ranitidine 50 มก.โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดดำอย่างช้าๆ
4. Isolated hypotension
ยกเท้าสูงเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะที่เตรียมให้สารน้ำ ถ้าเป็นไปได้จัดให้อยู่ในท่า Trendelenburg ให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง
5. Hypotension with tachycardia 26
อาการไม่มาก ถึงอาการปานกลาง นอนยกเท้าสูง ให้ ออกซิเจน 10-12 ลิตรต่อนาทีโดยวิธีหน้ากาก และให้สารน้ำที่เป็นไอโซโทนิก(เช่น 0.9% NSS, หรือ Ringer lactate solution หรือ acetar solution)
อาการรุนแรงหรือผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาให้การรักษาเหมือนข้างบนและให้ dopamine ขนาด 2-20 มก/กก/นาที ส่วน epinephrine มีประโยชน์น้อยกว่าในผู้ป่วยประเภทนี้ ผลการรักษาไม่แน่นอนและสามารถก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มากกว่า
6.Vasovagal reaction
อาการไม่มาก ถึงอาการปานกลาง ให้ ออกซิเจน และสารน้ำตามข้อ 5
อาการรุนแรงหรือผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ให้ atropine ขนาด 0.6-1 มก.ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และให้ซ้ำได้ทุก 3-5 นาที ตามต้องการจนถึง 3 มก.
7. คนไข้ที่ไม่ตอบสนองการรักษา ทำ Defibrillationในการรักษา ventricular fibrillation และ pulseless ventricular tachycardia และ ให้การช่วยชีวิตขั้นสูง
ข้อควรรู้และควรระวังในการให้การรักษาภาวะไม่พึงประสงค์
1. ระวังในการใช้ epinephrine ในคนไข้ที่มีโรคหัวใจ หรือคนไข้ที่กิน beta-blockers เช่น atenolol, propranolol, metoprolol และ nadolol เพราะ unopposed alpha effects ของ epinephrine ในผู้ป่วยเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงรุนแรง หรือ angina ได้
2. H1 antihistamine เช่น diphenhydramine, CPM และ H2-receptor blockers เช่น cimetidine, ranitidineไม่ใช่ยาหลักในการรักษา respiratory reactions แต่อาจให้หลังจากให้ epinephrine แล้ว
2. การรักษา อาการไม่พึงประสงค์ จาก non-idiosyncratic reaction การรักษาขึ้นกับชนิดของปฏิกิริยาและอวัยวะที่มีผลกระทบ
1. Vasovagal reaction 26 รักษาภาวะนี้เหมือนใน idiosyncratic reaction และไม่ควรให้ atropine น้อยกว่า 0.5 มก. เพราะอาจทำให้เกิด paradoxical effect of accentuating bradycardia หรือ เกิด sudden respiratory หรือ cardiac arrest ให้ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและ ถ้าจำเป็น เครื่องมือสำหรับการช่วยชีวิตขั้นสูง ก็ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมและใช้ได้ทันทีที่ต้องการ
2.Cardiac arrhythmias ต้องเตรียม defibrillator ให้พร้อมและทำ cardioversion หรือ defibrillation ทันที ผลการรักษาจะดีขึ้นภายในไม่กี่นาทีใน ventricular fibrillation ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่แพทย์หรือรังสีแพทย์ที่ฉีดสารทึบรังสีควรใช้ defibrillators ได้
3. Hypertensive reaction ให้การรักษาเบื้องต้นโดยการให้ ออกซิเจน และยาลดความดันโลหิตเช่น fenoldopam, labetalolและ nitroglycerin ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ หรือให้กิน clonidine หรือ captopril ขึ้นอยู่กับอาการ นอกจากนี้ furosemide 40 มก.ทางหลอดเลือดดำ ก็สามารถใช้ได้
4. Seizure อาจเกิดจากการขาดออกซิเจนเนื่องจากการหายใจลำบากได้ออกซิเจนไม่เพียงพอและมีคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง หรือ การที่ระบบประสาทส่วนกลาง(CNS) ตอบสนองต่อสารทึบรังสี ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก ให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง ถ้าเกิดจากการขาดออกซิเจนควรใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อให้ได้ออกซิเจนพอเพียง แต่ถ้าเกิดจากระบบประสาทส่วนกลางให้ diazepam 5 มก.เข้าหลอดเลือดดำ ให้ซ้ำได้อีกตามความจำเป็น
5. Pulmonary edema เริ่มจากการยกศีรษะให้สูงขึ้น ให้ออกซิเจน และ furosemide เข้าหลอดเลือดดำ และ morphine 1-3 มก. ทุก 5-10 นาที
6. Angina ควรได้รับ nitroglycerin อมใต้ลิ้น และ ออกซิเจน ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมิน ischemic changes
7. Delayed reaction รักษาและให้ยาตามอาการเช่น มีไข้ หรือ ปวดศีรษะก็ให้ยาลดไข้ แก้ปวด ให้ meperidine เพื่อรักษาอาการตัวแข็ง และสารน้ำไอโซโทนิกเพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ
8. Extravasation injury ให้ยกแขนข้างนั้นให้สูงและใช้การประคบเย็น แต่ถ้าอาการปวดเพิ่มขึ้นหลังจากเวลาผ่านไป 2-4 ชั่วโมง หรือ มีผิวหนังหลุดลอก มีแผล หรือมีการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือด และการรับรู้ความรู้สึกของระบบประสาท ที่ส่วนปลายต่อบริเวณที่มีการรั่วซึมของ ICM เข้าเนื้อเยื่อควรปรึกษาศัลยแพทย์ แต่ถ้าอาการไม่มากก็ไม่มีการรักษาที่เฉพาะ ส่วนใหญ่ก็มักได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
3. การรักษา Contrast medium induces nephropathy ( CIN ) ส่วนใหญ่ก็ได้รับการ เฝ้าระวัง การให้น้ำที่พอเพียง และนัดตรวจติดตาม serum creatinine มีจำนวนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการฟอกไต
สรุปแนวทางปฏิบัติสำหรับการป้องการและลดการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ต่อการใช้สารทึบรังสีในการตรวจพิเศษทางเดินปัสสาวะ ( แผนภูมิที่ 1 )
ผู้เขียนได้ใช้ความรู้จากการศึกษาข้อมูลจากที่ต่างๆรวมกับประสบการณ์การทำงานและพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อที่จะวางแนวทางป้องกันและลดการเกิดภาวะที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้สารทึบรังสีขึ้น และสามารถนำมาใช้ปฏิบัติได้ เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจของทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วย โดยการเริ่มซักประวัติอย่างละเอียดเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยง การให้สารทึบรังสีทางหลอดเลือดดำอย่างระมัดระวัง การวินิจฉัยภาวะไม่พึงประสงค์และการดูแลรักษาภาวะไม่พึงประสงค์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
1. การซักประวัติ โดยที่เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ โดยใช้แบบฟอร์มแนวทางซักประวัติ และจะได้รับการ ตรวจสอบอีกครั้งโดยเจ้าที่รังสีการแพทย์/เจ้าหน้าที่พยาบาล/แพทย์ประจำห้องตรวจ ด้วยขั้นตอนดังนี้
1.1 มีข้อมูลการเจ็บป่วยและ ผล serum creatinine ก่อนส่งนัดตรวจทุกราย
1.2 ไม่พบปัจจัยเสี่ยง ออกใบนัดและแนะนำวิธีการเตรียมตัว
1.3 พบปัจจัยเสี่ยง ส่งปรึกษารังสีแพทย์
การใช้วิธีทดสอบโดยใช้ปริมาณสารทึบรังสีเล็กน้อยฉีดเข้าชั้นผิวหนังแล้วประเมินผล เป็นวิธีที่ไม่มีประโยชน์เพราะใช้ในการพยากรณ์ไม่ได้ว่าคนไข้จะแพ้หรือไม่ และยังอาจก่อให้เกิดโทษ โดยอาจเป็นการ กระตุ้นให้เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงได้12
2. การเตรียมตัว
2.1 ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการแนะนำและได้รับแบบฟอร์มการเตรียมตัว ยกเว้นในเด็กเล็ก และในรายที่ช่วยเหลือตัวเองลำบาก ไม่ต้องเตรียมลำไส้ แต่ในผู้ป่วยทั่วไป ควรจะเน้นให้เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับถ้าเตรียม ลำไส้ได้ดี แม้ในบางการศึกษาจะไม่เห็นความสำคัญของการเตรียมลำไส้แล้วก็ตาม
2.2 ผู้ป่วยจะงดอาหารมื้อเช้า แต่ยังสามารถรับประทานน้ำและยาที่ไม่มีข้อห้ามได้ตามปรกติ หรือถ้าอ่อนเพลียก็ให้ดื่มน้ำหวานหรือเกลือแร่ได้ เพื่อไม่ให้มีภาวะขาดน้ำ ในรายที่ไม่ได้ดื่มน้ำหลังตื่นนอนก็สามารถดื่มได้เลยที่แผนกรังสีวิทยาอย่างน้อย 500 มล. แต่จะงดทุกอย่างก่อนให้สารทึบรังสีอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเพื่อให้กระเพาะอาหารว่างมากที่สุด และแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อย 2,500 มล. ภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีดสารทึบรังสี ทุกราย เพื่อลดภาวะ contrast medium induces nephropathy ในรายที่เป็นผู้ป่วยที่ต้องงดน้ำงดอาหารก็ให้ สารน้ำเป็น 0.9 % หรือ 0.45% saline ทางหลอดเลือดดำแทน5,8,15-17
2.3 ในรายที่มีปัจจัยเสี่ยงจะได้การเตรียมตัวเพิ่มเติมตามประเภทและความรุนแรง ดังจะได้เขียนในข้อต่อไป
3. การให้สารทึบรังสี
ในคนไข้ที่ทำ conventional IU จะได้รับสารทึบรังสีโดยวิธี หยดเข้าเส้นเลือดดำผ่านเข็มเบอร์ 18 ที่ anticubital vein เป็นหลัก ในบางรายอาจใช้เข็มเบอร์ 20 ที่ peripheral vein อื่นได้ตามความจำเป็นโดยจะใช้เวลาหยด 3-4 นาที ส่วนใน rapid sequence IU จะต้องใช้ วิธี IV push ภายใน 1 นาทีเท่านั้น
4. ชนิด และปริมาณ ของสารทึบรังสี
ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ใช้ ionic , high osmolality ICM ในปริมาณ 300 มก.ไอโอดีนต่อ นน. 1 กก.
มีปัจจัยเสี่ยง ใช้ non-ionic , low osmolality ICM ในปริมาณ 300 มก.ไอโอดีนต่อ นน. 1 กก.
คือใช้ประมาณ 1 มล. ต่อ นน. 1 กก. ซึ่งในผู้ใหญ่โดยทั่วไปที่มีน้ำหนัก 50-70 กก. จะใช้ประมาณ 50 มล. ถ้าน้ำหนักมากหรือน้อยกว่านี้ก็สามารถปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ปริมาณที่คำนวณได้
5. การ Monitor ผู้ป่วย
บันทึกอาการผิดปรกติ ความดันโลหิต และ ชีพจร ก่อนฉีด ขณะฉีด และหลังฉีดสารทึบรังสี 5 นาทีทุกราย
ในรายที่มีปัจจัยเสี่ยง จะเฝ้าดูขณะฉีด และ หลังฉีด 10 นาที และ 1ชั่วโมง( ก่อนกลับบ้าน ) เพิ่มด้วย
ในรายที่พบอาการผิดปรกติ ต้องบันทึกสัญญาณชีพถี่ขึ้น พร้อมทั้งตรวจอัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
6. การถ่ายภาพ แม้ไม่มีกฎตายตัวว่าต้องถ่ายตอนกี่นาที ใช้ฟิล์มขนาดเท่าไหร่แต่ที่ใช้ทั่วไปคือ
1. Plain KUB ก่อนฉีดสารทึบรังสี ( Preliminary film ) จำเป็นต้องทำทุกรายเพื่อเช็ค ตำแหน่ง เทคนิคการเอกซเรย์ หินปูนหรือนิ่ว ประเมินสภาวะลมและเศษอุจจาระที่ค้างในลำไส้
2. ภาพไตที่ 1-3 นาทีหลังฉีด coned kidney ( nephrographic phase , nephrogram) เพื่อประเมินภาวะ renal perfusion ดูรูปร่าง ขอบเขต และขนาดของไตบางรายอาจข้ามขั้นตอนนี้ไปเป็น 5 นาทีเลยก็ได้ ถ้าไม่ต้องการดู nephrographic phase ในการหยด (drip) สารทึบรังสีเข้าเส้นเลือดในเวลา 3-4 นาที nephrographic phase จะยังคงอยู่ในเวลาประมาณ 3 นาที ซึ่งต่างจากการ push อย่างรวดเร็วใน 1-2 นาที ที่ nephrographic phase จะไม่เกิน 2 นาที แล้วก็จะเข้าสู่ excretory phase
3. ภาพไต ท่อปัสสาวะ ที่ 5 นาที ( 5 minute film , early excretory phase ) บางที่ก็ข้ามไปที่ข้อ 4 เลย
4. ภาพ ไต ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ ที่ 10-15 minute ( excretory phase )
แล้วส่งให้ แพทย์ เช็คฟิล์ม เพราะอาจต้องเอกซเรย์เพิ่มเพื่อให้ได้ข้อมูลตามต้องการเช่น ท่าเอียงตัว ท่านอนคว่ำ หรือรัดหน้าท้องเพื่อให้เห็นชัดขึ้น ( ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยทำแล้ว เพราะจะใช้อัลตร้าซาวด์แทน ) หรือเอกซเรย์ที่ 20, 30 นาที เป็นต้น การตรวจอาจสิ้นสุดเลยก็ได้ ถ้าแพทย์ได้คำตอบที่ต้องการ แต่ส่วนใหญ่ก็มักเอกซเรย์ต่อ เพราะกระเพาะปัสสาวะจะยังไม่ขยายเต็มที่ในเวลานี้จะยังประเมินได้ไม่ดีนัก
5. ภาพ ไต ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ ที่ 1-2 ชั่วโมง ( delayed 1-2 hour film ) บางทีเลือกถ่ายภาพเล็กเฉพาะกระเพาะปัสสาวะก็ได้ ถ้าไม่ต้องการดูไต และท่อไตแล้ว
6. ภาพหลังการปัสสาวะ( post voiding film )เพื่อประเมินสารทึบรังสีที่เหลือค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ หรือ ท่อไตจะเป็นภาพเล็กหรือใหญ่ก็ได้ตามความจำเป็น
7. ในผู้ป่วยที่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยง ปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้ ถ้าพบว่าตั้งครรภ์ แพ้สารทึบรังสีหรืออาหารทะเลทุกชนิดอย่างรุนแรง จะแจ้งรังสีแพทย์หรือแพทย์ที่รับผิดชอบ เพื่อแจ้งการปฏิเสธการนัดตรวจ ถ้าพบว่ามีปัจจัยเสี่ยง จะแจ้งรังสีแพทย์หรือแพทย์ที่รับผิดชอบ เพื่อร่วมพิจารณาประเภทของการเสี่ยง
7.1 เสี่ยงต่อ แบบ idiosyncratic reaction
อาการแพ้เล็กน้อยให้ Dexametazone ขนาด 4-8 มก. IV push 30 นาที 1 ชม. ก่อนได้ ICM ถ้ามีข้อห้ามใช้ corticosteroid จะพิจารณาใช้ H1 และ H2 antihistamine IV แทน หรือไม่ให้ prophylaxis medication ก็ได้ถ้าอาการแพ้ไม่ชัดเจน หรือมีอาการน้อยมาก เปลี่ยนมาใช้ non ionic ICM ก็พอ ซึ่งขึ้นกับดุลยวินิจของแพทย์
อาการแพ้รุนแรงปานกลาง ถึง รุนแรงมาก ควรส่งกลับให้แพทย์เจ้าของไข้พิจารณาและยืนยันความจำเป็นในการตรวจ อีกครั้ง และแนะนำให้ใช้การตรวจวิธีอื่นแทน ได้แก่ ultrasound, plain KUB, MR urography, หรือ renal scintigraphy
ถ้าแพทย์เจ้าของไข้พิจารณาแล้วยืนยันการตรวจ ก็แจ้งให้ผู้ป่วยทราบภาวะเสี่ยงก่อนให้เซน inform consent และพิจารณาให้ prophylaxis regimen ทั้ง corticosteroid ร่วมกับ H1,H2 antihistamine 17-19
Dexametazone 8 มก.ฉีดเข้าหลอดเลือดดำก่อนตรวจ 1 ชั่วโมง
H1 antihistamine dimendydrinate 50 มก.หรือ ( CPM )chlopheniramine 10 มก.ฉีดเข้าหลอดเลือดดำก่อนตรวจ 10-15 นาที
H2 antihistamine cimethidine 200 มก.หรือ ranitidine 50 มก.ฉีดเข้าหลอดเลือดดำก่อนตรวจ 10-15 นาที
ข้อเสนอแนะ การใช้ prophylaxis medication จะมี compliance ดีกว่าการกินยาที่ต้องกินจำนวนมากถึงสองครั้งขึ้นไป และจะแน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับยาแน่นอนมากกว่ายากินที่ต้องกินเองที่บ้าน และผู้ป่วยเปิดหลอดเลือดดำอยู่แล้ว และที่พิจารณาใช้ dexamethazone เพราะ หาใช้ง่าย ราคาถูก มี plasma peak level ที่ 1 ชั่วโมง และมี variable half life จากการฉีดทางหลอดเลือดดำ ส่วน hydrocortisone จะเตรียมไว้ใช้ในการรักษา20,21 CPM เป็น first generation H1 antihistamine หาง่าย ราคาถูก ออกฤทธิ์ และ half life สั้นแต่จะทำให้ซึม ง่วงนอนได้ แต่ก็สามารถใช้แทน dimendydrinate ได้
7.2 เสี่ยงต่อแบบ non- idiosyncratic reaction กรณีที่ควบคุมอาการได้คงที่ให้ รับนัดตามปรกติได้ ควรงดยา metformin อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนและหลัง การฉีดในคนไข้เบาหวานที่มี serum creatinine มากกว่า 1.3 มก/ดล. ทุกราย แต่โดยปรกติแล้ว metformin จะไม่ให้ใน DM nephropathy อยู่แล้ว เพิ่มความระมัดระวังอย่างมากในรายที่ได้รับยาในกลุ่ม B- blocker และ ACE inhibitor เพราะจะทำให้สับสนในการวินิจฉัยและรักษา ในรายที่มีความผิดปรกติเกิดขึ้น
กรณีอาการไม่คงที่ จะส่งกลับไปพบแพทย์เจ้าของไข้เพื่อควบคุมภาวะโรคเดิมให้ดีก่อนส่งนัดใหม่ และถ้าควบคุมอาการได้ไม่ดีแนะนำให้พิจารณาใช้การตรวจวิธีอื่นแทน